วันพุธที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2559

คณะนิติศาสตร์



นิติศาสตร์ ไม่ใช่สาขาวิชาที่เน้นท่องจำอย่างที่หลายๆคนเข้าใจ แต่เป็นวิชาที่ต้องอาศัยความเข้าใจ และการวิเคราะห์วินิจฉัย อย่างถูกต้องแม่นยำ เพราะฉะนั้น การจะวินิจฉัยได้ดี และ ถูกต้อง เราก้อต้องเข้าใจและจำตัวบทได้ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า เราจะต้องจำตัวบทได้ทุกตัวอักษร เพราะไม่จำเป็นเลย ถึงเวลาทำงานจริง เราก้อเปิดประมวลกฎหมายในการทำงานอยู่ดี นอกจากนั้น เรายังจะต้องเขียนเป็น เขียนเป็นไม่ได้หมายความว่าเขียนได้เยอะ หรือเขียนยังไงก็ได้ เราจะต้องเขียนให้ความหมายชัดเจน และสามารถเข้าใจได้ อีกทั้งต้องคำนึงถึงความสุภาพและภาษาที่ใช้ในทางกฎหมายอีกด้วย ภาษากฎหมายนั้น ถ้าใช้ผิดเพี้ยนไปแม้เพียงเล็กน้อยก็อาจส่งผลกระทบในการตีความที่ใหญ่หลวงได้  และนอกจากความเชี่ยวชาญในการศึกษาวิชาการแล้ว ยังจะต้องมีจริยธรรมหรือคุณธรรมสำหรับนักกฎหมายอีกด้วย เพราะกฎหมายเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับชีวิตคน ถ้าใช้อย่างไม่ยุติธรรมก็จะเกิดความเดือดร้อนและวุ่นวายในสังคม(อย่างที่เป็นอยู่ในสังคมปัจจุบัน) และที่สำคัญ คนที่จะเป็นนักกฎหมายที่ดีได้ จะต้องมี Legal Mind หรือ หัวกฎหมาย ด้วย ( แต่สิ่งนี้ ฝึกกันได้ค่ะ) เรียนๆไปแล้วจะรู้เอง
นิติศาสตร์ผมขอแบ่งเป็น 3 กลุ่มหลักนะครับ

กฎหมายเอกชน

จะเน้นกฎหมายแพ่ง, พาณิชย์ และกฎหมายอาญา ซึ่งจะมีมาตราและองค์ประกอบความผิดที่ชัดเจนสำหรับการวิเคราะห์วินิจฉัย วิชาที่ต้องเรียนก็เช่น กฎหมายประกันภัย กฎหมายเกี่ยวกับการกระทำผิดของเด็กและเยาวชน การบัญชีสำหรับนักกฎหมาย กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา

กฎหมายมหาชน

จะเน้นกฎหมายรัฐธรรมนูญ กฎหมายปกครอง ซึ่งจะเป็นกฎหมายที่ไม่ค่อยมีมาตรา แต่จะเน้นการตีความและสิ่งที่เป็นนามธรรม  วิชาที่เราต้องเรียนก็มี กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ ศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง กฎหมายการคลัง กฎหมายมหาชนทางเศรษฐกิจ กฎหมายสิ่งแวดล้อม

กฎหมายต่างประเทศ

กฎหมายต่างประเทศจะครอบคลุมต่างประเทศในทุกด้านเช่น  กฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยทะเล กฎหมายอาญาระหว่างประเทศ กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ กฎหมายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ

จบนิติศาสตร์ทำงานอะไร

ราชการ ถ้าเป็นสายตรง ก็เรียนแล้วไปเป็นผู้พิพากษาอัยการ ซึ่งเป็นอาชีพที่มีเกียรติ รายได้ดี แต่ก็เป็นอาชีพที่เป็นได้ยากมากที่สุด เพราะเมื่อเรียนจบแล้วจะต้องไปสอบเนติบัณฑิต ซึ่งแต่ละปีจะมีผู้สอบผ่านประมาณ 7% (พันกว่าคนจากคนสอบประมาณเจ็ดหมื่น) แล้วเมื่อได้เนแล้ว ก็จะต้องรอให้อายุครบยี่สิบห้า พร้อมกับมีคุณสมบัติตามที่คณะกรรมการตุลาการกำหนด เช่นเคยว่าความมาแล้วกี่คดี เรียนปริญญาโทมาแล้วกี่ปีวิชาอะไรบ้าง (ต้องเช็คกันเป็นรายปี เพราะกฎตรงนี้เปลี่ยนอยู่เสมอ) ก็ไปสอบผู้ช่วยผู้พิพากษา หรืออัยการผู้ช่วย ได้ ซึ่งตรงนี้ คนที่จะสอบได้จะมีประมาณ 1-3% ของคนที่ผ่านเนแล้ว เรียกได้ว่ากว่าจะเป็นได้นี่เลือดตาแทบกระเด็น

มหาวิทยาลัยที่เปิดสอนนิติศาสตร์

จุฬาลงกรณ์ เกษตรศาสตร์ ขอนแก่นเชียงใหม่ ทักษิณ ธรรมศาสตร์ นเรศวร บูรพา มหาสารคาม แม่ฟ้าหลวง สงขลานครินทร์ อุบลราชธานี

Read more at http://www.unigang.com/Article/62#RbCq2tb1jOYSUL84.99

ศาลมีกี่ชนิด

ศาลในประเทศไทย
 

          ในประเทศไทย ศาลเป็นองค์กรซึ่งมีอำนาจพิจารณาพิพากษาอรรถคดี โดยดำเนินการตามรัฐธรรมนูญ ตามกฎหมาย และในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์ บรรดาศาลทั้งหลายจะตั้งขึ้นได้ก็แต่โดยพระราชบัญญัติ
          การตั้งศาลขึ้นใหม่เพื่อพิจารณาพิพากษาคดีใดคดีหนึ่งหรือคดีที่มีข้อหาฐานใดฐานหนึ่งโดยเฉพาะแทนศาลที่มีอยู่ตามกฎหมายสำหรับพิจารณาพิพากษาคดีนั้น จะกระทำมิได้ โดยตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ศาลมี 4 ประเภท คือ
  1. ศาลรัฐธรรมนูญ
  2. ศาลยุติธรรม
  3. ศาลปกครอง
  4. ศาลทหาร

ศาลรัฐธรรมนูญ (Constitution Court)
          เป็นศาลสูงและเป็นองค์กรอิสระ ซึ่งวินิจฉัยข้อกฎหมายในกฎหมายรัฐธรรมนูญ มีอำนาจหน้าที่หลักคือพิจารณาวินิจฉัยว่ามีกฎหมายใดขัดแย้งกับกฎหมายรัฐธรรมนูญหรือไม่ ตัวอย่างเช่น วินิจฉัยว่ากฎหมายนั้นๆ ขัดแย้งกับหลักพื้นฐานแห่งสิทธิและเสรีภาพหรือไม่ เป็นต้น
          โดยศาลรัฐธรรมนูญนี้ มีอำนาจหน้าที่ที่สำคัญ คือ การพิจารณาวินิจฉัยว่าร่างพระราชบัญญัติหรือร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญหรือร่างข้อบังคับการประชุมของสภาผู้แทนราษฎร ของวุฒิสภา หรือของรัฐสภา ที่สภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา หรือรัฐสภา แล้วแต่กรณี ให้ความเห็นชอบแล้ว แต่ยังมิได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา มีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ หรือตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือไม่ หรือพิจารณาวินิจฉัยว่า บทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ศาลจะใช้บังคับแก่คดีใดขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญโดยที่ศาลเห็นเอง หรือคู่ความโต้แย้ง และยังไม่มีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในส่วนที่เกี่ยวกับบทบัญญัตินั้น ตลอดจนพิจารณาวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ขององค์กรต่าง ๆ ตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญถือเป็นเด็ดขาดและมีผลผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล และองค์กรอื่นของรัฐ
          การพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญเป็นระบบไต่สวน ศาลมีอำนาจไต่สวนหาข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานเพิ่มเติมได้ ซึ่งแตกต่างจากวิธีพิจารณาที่ใช้ในคดีทั่วไปของศาลยุติธรรม

ศาลยุติธรรม (The Court of Justice)
          เป็นศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีทั้งปวง เว้นแต่คดีที่รัฐธรรมนูญหรือกฎหมายบัญญัติให้อยู่ในอำนาจของศาลอื่น
          ศาลยุติธรรมมี 3 ชั้น คือ ศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกา เว้นแต่ที่มีบัญญัติเป็นอย่างอื่นในรัฐธรรมนูญหรือตามกฎหมายอื่น
  • ศาลชั้นต้น ได้แก่ ศาลแพ่ง ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ศาลแพ่งธนบุรี ศาลอาญา ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลอาญาธนบุรี ศาลจังหวัด ศาลแขวง และศาลยุติธรรมอื่นที่พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลนั้นกำหนดให้เป็นศาลชั้นต้น เช่น ศาลเยาวชนและครอบครัว ศาลแรงงาน ศาลภาษีอากร ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ ศาลล้มละลาย
  • ศาลอุทธรณ์ ได้แก่ ศาลอุทธรณ์ และศาลอุทธรณ์ภาค
  • ศาลฎีกาซึ่งเป็นศาลยุติธรรมสูงสุด ที่มีอยู่เพียงศาลเดียว
ศาลชั้นต้น
ศาลแพ่ง
เป็นศาลยุติธรรมชั้นต้นซึ่งมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งทั้งปวงและคดีอื่นใดที่มิได้อยู่ในอำนาจของศาลยุติธรรมอื่น ศาลแพ่งมีเขตตลอดท้องที่กรุงเทพมหานคร นอกจากท้องที่ที่อยู่ในเขตของศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ศาลแพ่งธนบุรี ศาลจังหวัดมีนบุรี และศาลยุติธรรมอื่นตามที่พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลนั้นกำหนดไว้ ในกรณีที่มีการยื่นฟ้องคดีต่อศาลแพ่ง และคดีนั้นเกิดขึ้นนอกเขตของศาลแพ่ง ศาลแพ่งอาจใช้ดุลพินิจยอมรับไว้พิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งโอนคดีไปยังศาลยุติธรรมอื่นที่มีเขตอำนาจ
ศาลอาญา
เป็นศาลชั้นต้นซึ่งมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีอาญาทั้งปวงในเขตท้องที่กรุงเทพมหานคร นอกจากท้องที่ที่อยู่ในเขตของศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลอาญาธนบุรี และศาลจังหวัดมีนบุรี แต่บรรดาคดีที่เกิดขึ้นนอกเขตอำนาจศาลอาญานั้นจะยื่นฟ้องต่อศาลอาญาก็ได้ ทั้งนี้อยู่ในดุลพินิจของศาลอาญาที่จะไม่ยอมรับพิจารณาพิพากษาคดีใดคดีหนึ่งที่ยื่นฟ้องเช่นนั้นก็ได้ เว้นแต่คดีนั้นจะโอนมาตามบทบัญญัติในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความ
ศาลจังหวัด
เป็นศาลยุติธรรมชั้นต้นที่ตั้งประจำในแต่ละจังหวัดหรือในบางอำเภอ มีเขตตามที่พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลจังหวัดนั้นได้กำหนดไว้ มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งและคดีอาญาทั้งปวงที่มิได้อยู่ในอำนาจของศาลยุติธรรมอื่น ในกรณีที่มีการยื่นฟ้องคดีต่อศาลจังหวัด และคดีนั้นเกิดขึ้นในเขตของศาลแขวงและอยู่ในอำนาจของศาลแขวง ศาลจังหวัดนั้นต้องมีคำสั่งโอนคดีไปยังศาลแขวงที่มีเขตอำนาจ
ศาลภาษีอากรกลาง
เป็นศาลที่ตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2530 มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีภาษีอากร ซึ่งมีลักษณะพิเศษแตกต่างจากคดีแพ่งทั่วไป เพราะเป็นข้อพิพาทระหว่างเอกชนกับรัฐอันเนื่องมาจากการเก็บภาษีอากร การอุทธรณ์ในคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลภาษีอากรให้อุทธรณ์ไปยังศาลฎีกา ไม่ต้องผ่านศาลอุทธรณ์เพื่อความสะดวกรวดเร็วในการดำเนินคดี
พจนานุกรม ไทย-ไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ศาลภาษีอากร ความหมาย (กฎ) น. ศาลยุติธรรมชั้นต้นซึ่งเป็นศาลชำนัญพิเศษมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งที่กฎหมายบัญญัติให้อยู่ในอำนาจของศาลภาษีอากร เช่น คดีอุทธรณ์คำวินิจฉัยของเจ้าพนักงานหรือคณะกรรมการตามกฎหมายเกี่ยวกับภาษีอากร.
ศาลแรงงานกลาง
จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงาน และวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 เ ปิดทำการเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2523 โดย มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เป็นศาลชำนัญพิเศษ พิจารณาพิพากษาคดีแรงงาน ซึ่งมีความแตกต่างจากอรรถคดีทั่วไป  การดำเนินกระบวนพิจารณาคดีในศาลแรงงาน จะใช้วิธีไกล่เกลี่ย และการระงับข้อพิพาทเป็นหลัก แต่หากคู่กรณี (นายจ้าง-ลูกจ้าง) ไม่สามารถตกลงกันได้ ศาลก็จะพิจารณาตัดสินชี้ขาดตามบัญญัติ แห่งกฎหมาย โดยคำนึงถึงความเป็นธรรม และความสงบเรียบร้อย ต่อไป
ศาลแรงงานมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีเกี่ยวกับการจ้างแรงงาน สิทธิหน้าที่ตามกฎหมายแรงงาน ซึ่งได้แก่กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน กฎหมายว่าด้วยแรงงานสัมพันธ์ กฎหมายว่าด้วยเงินทดแทน กฎหมายว่าด้วยประกันสังคม เป็นต้น รวมทั้งกรณีละเมิดระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง
การพิจารณาคดีประกอบด้วยผู้พิพากษา 3 ฝ่าย คือ ผู้พิพากษาซึ่งเป็นข้าราชการฝ่ายตุลาการ ผู้พิพากษาสมทบฝ่ายนายจ้าง และผู้พิพากษาสมทบฝ่ายลูกจ้าง จำนวนฝ่ายละเท่าๆกัน ร่วมเป็นองค์คณะการพิจารณาพิพากษาคดี

ศาลอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ คือ ศาลสูงถัดจากศาลชั้นต้นซึ่งมีอำนาจพิจารณาพิพากษาบรรดาคดีที่อุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลชั้นต้นที่อยู่ในเขตอำนาจ กับมีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาดคดีที่ศาลอุทธรณ์มีอำนาจวินิจฉัยได้ตามกฎหมายอื่นในเขตท้องที่ที่มิได้อยู่ในเขตศาลอุทธรณ์ภาค เว้นแต่คดีที่อยู่นอกเขตศาลอุทธรณ์จะอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ก็ได้ ทั้งนี้อยู่ในดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ที่จะไม่ยอมรับพิจารณาพิพากษาคดีใดคดีหนึ่งที่อุทธรณ์เช่นนั้นก็ได้ เว้นแต่คดีนั้นจะได้โอนมาตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
ทั้งนี้ โดยมีประวัติความเป็นมาคือ ก่อน ร.ศ. 110 ศาลอุทธรณ์มหาดไทยเป็นศาลหนึ่งในจำนวนศาลซึ่งตั้งอยู่ตามกระทรวงต่าง ๆ จนกระทั้ง ร.ศ. 110 ได้มีการประกาศตั้งกระทรวงยุติธรรมขึ้น จึงได้รวมศาลทั้งหมดให้สังกัดกระทรวงยุติธรรม โดยให้ยกศาลฎีกาไปเป็นศาลอุทธรณ์คดีหลวง และให้ศาลอุทธรณ์มหาดไทยเป็นศาลอุทธรณ์คดีราษฎร์ ต่อมามีพระราชบัญญัติจัดการในสนามสถิตยุติธรรม ร.ศ. 111 ให้ยกเลิกศาลอุทธรณ์คดีหลวง คงเหลือศาลอุทธรณ์คดีราษฎร์เพียงศาลเดียว ซึ่งนิยมเรียกว่า ศาลอุทธรณ์ ใน ร.ศ. 115 ได้มีการตราพระราชบัญญัติตั้งข้าหลวงพิเศษขึ้นและมีประกาศให้คู่ความอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลหัวเมืองต่อข้าหลวงพิเศษแทนศาลอุทธรณ์ในกรุงเทพ ทำให้ศาลอุทธรณ์กลับมามี 2 ศาลอีก จนถึงปี 2469 จึงมีประกาศให้รวมศาลทั้งสองศาลเป็นศาลเดียวกัน เรียกว่า ศาลอุทธรณ์กรุงเทพฯ และเมื่อตราพระราชบัญญัติให้ใช้พระธรรมนูญศาลยุติธรรมพุทธศักราช 2477 ซึ่งบัญญัติให้ศาลยุติธรรมมี 3 ชั้น คือ ศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกาจึงใช้ชื่อว่าศาลอุทธรณ์มาจนถึงปัจจุบัน

ศาลฎีกา
ศาลฎีกา คือ ศาลสูงสุดซึ่งมีอำนาจพิจารณาพิพากษาบรรดาคดีที่อุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอุทธรณ์หรือศาลอุทธรณ์ภาค ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยการฎีกา นอกจากนี้ ยังมีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาดคดีที่ศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยได้ตามกฎหมายอื่น
องค์คณะพิจารณาพิพากษาคดีประกอบด้วยผู้พิพากษาอย่างน้อย 3 คน แต่หากคดีใดมีปัญหาสำคัญ ประธานศาลฎีกามีอำนาจสั่งให้นำปัญหาดังกล่าวเข้าสู่การวินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ ซึ่งประกอบด้วยผู้พิพากษาศาลฎีกาทุกคนซึ่งอยู่ปฏิบัติหน้าที่ในวันที่มีการจัดประชุมใหญ่ แต่ทั้งนี้ไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนผู้พิพากษาศาลฎีกาทั้งหมด
ศาลฎีกามีแผนกคดีพิเศษทั้งสิ้น 10 แผนก เพื่อวินิจฉัยชี้ขาดคดีที่อาศัยความชำนาญพิเศษ มีผู้พิพากษาศาลฎีกาประจำแผนก ๆ ละ ประมาณ 10 คน ได้แก่
  • แผนกคดีเยาวชนและครอบครัว
  • แผนกคดีแรงงาน
  • แผนกคดีภาษีอากร
  • แผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ
  • แผนกคดีล้มละลาย
  • แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
  • แผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจ
  • แผนกคดีสิ่งแวดล้อม
  • แผนกคดีปกครอง
  • แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในศาลฎีกา เป็นแผนกที่จัดตั้งขึ้นใหม่ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 เพื่อพิจารณาพิพากษาคดีผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้แก่ นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา หรือข้าราชการการเมืองอื่นซึ่งถูกกล่าวหาว่าร่ำรวยผิดปกติ กระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการตามประมวลกฎหมายอาญา หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ หรือทุจริตต่อหน้าที่ตามกฎหมายอื่น รวมทั้งกรณีบุคคลอื่นที่เป็นตัวการ ผู้ใช้ หรือผู้สนับสนุนด้วย
องค์คณะผู้พิพากษาในแผนกนี้ประกอบด้วย ผู้พิพากษาศาลฎีกาจำนวน 9 คน ที่คัดเลือกโดยที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา ขึ้นนั่งพิจารณาคดีเช่นเดียวกับศาลชั้นต้น แต่การพิจารณาคดีจะเป็นระบบไต่สวน ซึ่งแตกต่างจากวิธีพิจารณาที่ใช้ในคดีทั่วไป ศาลมีอำนาจไต่สวนหาข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานเพิ่มเติมได้ตามที่เห็นสมควร ตามวิธีพิจารณาคดีที่บัญญัติไว้ใน พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2542

ศาลปกครอง (Administrative Court)
          คือศาลที่มีหน้าที่พิจารณาคดีปกครองระหว่างรัฐกับราษฎร หรือระหว่างองค์กรของรัฐ ด้วยกันเอง ทั้งนี้ เป็นศาลที่จัดตั้งขึ้นโดยเฉพาะ แยกต่างหากจากศาลยุติธรรม
          ศาลปกครองเป็นศาลที่ใช้ระบบไต่สวน โดยในแต่ละคดีจะมีการพิจารณาโดยองค์คณะของตุลาการ ต่างจากศาลยุติธรรมซึ่งใช้ระบบกล่าวหา ศาลปกครองแบ่งออกเป็น "ศาลปกครองชั้นต้น" และ "ศาลปกครองสูงสุด"

ศาลปกครองชั้นต้น
  • ศาลปกครองกลาง มีอำนาจตัดสินคดีในเขตกรุงเทพมหานคร และอีก 7 จังหวัดใกล้เคียง หรือคดีที่ยื่นฟ้องที่ศาลปกครองกลาง
  • ศาลปกครองในภูมิภาค ปัจจุบันมี 7 แห่ง ที่จังหวัดเชียงใหม่ สงขลา นครราชสีมา ขอนแก่น พิษณุโลก ระยอง และนครศรีธรรมราช
ศาลปกครองสูงสุด มีอำนาจตัดสินคดีที่ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองสูงสุดโดยตรง หรือคดีอุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลปกครองชั้นต้น

          การจัดตั้งศาลปกครอง พิจารณาคดีระหว่างรัฐกับราษฎร มีเหตุผลสำคัญอยู่ 2 ประการ คือ
          ประการแรก รัฐในปัจจุบันมีบทบาทและความรับผิดชอบในชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชนมากขึ้น ซึ่งหมายความว่า อำนาจของรัฐมีมากขึ้นเป็นเงาตามตัวด้วย การกระทบกระทั่งระหว่างรัฐกับราษฎร ก็ต้องมากขึ้น ศาลยุติธรรมคงจะไม่สามารถรับพิจารณาคดีปกครองได้ทั้งหมด และอำนวยผลดี
          ประการที่สอง การพิพาทระหว่างรัฐกับราษฎร เป็นการพิพาทที่มีลักษณะพิเศษ แตกต่างไปจากการพิพาทระหว่างเอกชนกับเอกชน คือเป็นการพิพาทที่คู่กรณี ไม่อยู่ในฐานะเสมอภาคกัน เพราะฉะนั้น การใช้หลักกฎหมายธรรมดาในคดีปกครองนั้น คงจะไม่ถูกต้องนัก หรือศาลไม่สามารถให้ความเป็นธรรมแก่ราษฎรได้อย่างเต็มที่ ทั้งนี้ มองในแง่ความยุติธรรมที่ราษฎรจะพึงได้รับ เนื่องจากรัฐ มีอำนาจเหนือกว่าราษฎร โดยประการที่การพิพาทระหว่างรัฐกับราษฎรมีลักษณะพิเศษดังกล่าว หลักกฎหมายที่จะนำมาใช้ปรับคดี เพื่อความเป็นธรรมทั้งสองฝ่าย ก็ควรจะต้องเป็นหลักกฎหมายพิเศษ เช่นกัน และหลักกฎหมายดังกล่าวนี้ ศาลปกครองเท่านั้น จะสร้างขึ้นมาได้
         
          ศาลปกครอง จะทำหน้าที่ประสานประโยชน์ระหว่างรัฐกับราษฎร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของราษฎร และพิทักษ์อำนาจรัฐ มิให้อำนาจรัฐทำลายเสรีภาพของราษฎร และเสรีภาพของราษฎรทำลายอำนาจรัฐ ศาลปกครองจะทำให้ทั้งสองอย่างเข้ากันได้ โดยรักษาประโยชน์ ของส่วนรวมไว้ได้ และขณะเดียวกัน ก็ให้ความยุติธรรมแก่ราษฎร
          แนวความคิดทางการเมืองและการปกครองปัจจุบันที่น่าสนใจคือ การที่ประชาชนมอบอำนาจ ให้รัฐบาลจัดการปกครองประเทศเพื่อความผาสุกของตนแล้ว ใครจะเป็นผู้คอยควบคุมดูแลหรือปกครองรัฐบาลอีกทีหนึ่ง จะมีวิธีการอย่างใด และมีขอบเขตแค่ไหนที่ข้าราชการผู้ใช้อำนาจจะถูกควบคุม เพื่อป้องกันมิให้ใช้อำนาจไปในทางผิด ในการปฏิบัติทั่วไป การควบคุมรัฐบาล ในระบอบประชาธิปไตย แม้จะมีสภาผู้แทนราษฎร และสื่อมวลชนต่างๆ ทำหน้าที่ ควบคุม รัฐบาลอยู่แล้ว แต่ก็กล่าวได้ว่า เป็นการควบคุมที่ห่างเหินเกินไป หลายประเทศได้คิดค้นกลไกควบคุมฝ่ายบริหาร ขึ้นเป็นพิเศษ ซึ่งแต่ละประเทศก็มีวิธีปฏิบัติแตกต่างกันไป อาจจะสรุปได้เป็นแบบใหญ่ๆ ได้ 4 วิธีคือ
1. แบบฝรั่งเศส ซึ่งมีกลไกควบคุมฝ่ายปกครองโดยศาลปกครอง
2. จัดให้มีศาลปกครองพิเศษเป็นแผนกหนึ่งของศาลยุติธรรม ดังที่ปฏิบัติอยู่ในสหพันธรัฐเยอรมัน
3. วิธีพิจารณาคดีพิเศษ เฉพาะข้าราชการบางประเภทที่ใช้อำนาจหน้าที่มิชอบ เช่น การฟ้องร้องประธานาธิบดี รองประธานาธิบดี และข้าราชการพลเรือนอื่นๆ ต่อสภาสูง (Senate) ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งเรียกว่า “Impeachment”
4. จัดให้มีผู้ตรวจการหรือออมบุดส์แมน (Ombudsman) ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ที่รัฐสภาแต่งตั้ง ให้มีอำนาจหน้าที่ รับเรื่องราวร้องทุกข์จากประชาชนผู้เห็นว่าสิทธิของตนถูกละเมิด โดยการกระทำของฝ่ายปกครอง อาจเป็นการกระทำนอกเหนือกฎหมาย หรือการใช้ดุลพินิจอันไม่สมควร ดังที่ปฏิบัติอยู่ในประเทศนิวซีแลนด์ ฟินแลนด์ สวีเดน เดนมาร์คและประเทศไทย เป็นต้น
          ประเทศในภาคพื้นยุโรปหลายประเทศ มีศาลปกครองทำหน้าที่พิจารณาคดีอันเป็นกรณีพิพาทระหว่างรัฐกับประชาชน องค์การของรัฐด้วยกันเองและข้าราชการกับประชาชน ซึ่งประสบผลสำเร็จเป็นอย่างดี ศาลปกครองดังกล่าวนี้ จะถือหลักว่าด้วยความถูกต้องในการใช้อำนาจของรัฐและหลักการว่าด้วยความรับผิดชอบของรัฐ
          หลักว่าด้วยความถูกต้องในการใช้อำนาจของรัฐ หมายความว่า อำนาจรัฐที่มีอยู่จะต้องใช้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย หรือศาลปกครอง เป็นผู้ควบคุมการใช้อำนาจของรัฐ ส่วน หลักการว่าด้วยความรับผิดชอบของรัฐ มีสาระสำคัญว่า อำนาจของรัฐต้องใช้อย่างมีความรับผิดชอบ ซึ่งหมายถึงการกระทำใด ๆ ของรัฐ ที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชน รัฐจะต้องชดใช้ค่าเสียหายหรืองดเว้นปฏิบัติ เพื่อมิให้ความเสียหายเกิดขึ้น
          การจัดตั้งศาลปกครองที่ประเทศต่าง ๆ ปฏิบัติอยู่ สามารถจำแนกออกได้เป็น 2 ระบบ
ระบบแรก ให้ศาลปกครองขึ้นต่อศาลยุติธรรม แต่ระบบศาลปกครองที่ขึ้นกับศาลยุติธรรม มีจุดอ่อนอยู่ที่ว่า หลักกฎหมายที่ใช้ในศาลปกครอง และศาลยุติธรรมมีข้อแตกต่างกัน หรือจะทำให้เหมือนกันได้ยาก ในทางปฏิบัติ จึงมักจะเกิดความสับสน เมื่อมีการอุทธรณ์ ฎีกาจากศาลปกครองไปสู่ศาลยุติธรรม เพราะศาลปกครองจะใช้หลักกฎหมายอย่างหนึ่ง ศาลยุติธรรมจะใช้หลักกฎหมายอีกอย่างหนึ่ง
ระบบที่สอง โดยการแยกศาลปกครอง ออกเป็นศาลหนึ่งต่างหาก มีองค์การและเจ้าหน้าที่ของตนเอง ไม่ขึ้นต่อศาลยุติธรรม การจำแนกระบบศาลปกครองดังระบบที่สอง ยกตัวอย่างเช่นประเทศไทยเป็นต้น
          ประเทศที่แยกศาลปกครองและศาลยุติธรรมออกจากกัน หรือใช้ระบบศาลคู่ คือ แยกศาล ออกเป็นสองสาย ในแต่ละสายมีศาลสูงสุดของตัวเอง ศาลทั้งสองต่างเป็นอิสระต่อกัน และต่างมีหน้าที่ ของตน อย่างไรก็ดี ระบบที่แยกศาลออกเป็นสองสายนี้ ก็มีปัญหายุ่งยากอยู่บ้าง กล่าวคือ เกิดความขัดแย้งกันใน 3 รูป ได้แก่ (1) การขัดแย้งกันในอำนาจศาล (2) การขัดแย้งกันในเรื่องของการปฏิเสธ ให้ความยุติธรรม ทั้งนี้ โดยที่แต่ละศาลวินิจฉัยว่าตนไม่มีอำนาจพิจารณาคดี และ (3) การขัดแย้งกัน ในการตัดสินของศาล กรณีเช่นนี้ อาจเกิดขึ้นได้ เมื่อศาลยุติธรรมและศาลปกครอง พิจารณาคดีเดียวกัน แต่การตัดสินของศาลขัดกัน เช่น นาย ก. อาศัยรถยนต์ส่วนตัว ของนาย ข. ไปทำธุรกิจ รถคันที่นาย ก. นั่งไป เกิดชนกับรถของทางราชการ และได้รับบาดเจ็บสาหัส ประการแรก นาย ก. อาจจะฟ้องคนขับรถ ที่ตนนั่งไป ต่อศาลยุติธรรม ซึ่งศาลยุติธรรม อาจจะวินิจฉัยว่า ผู้ที่จะต้องรับผิดชอบนั้น คือคนขับรถราชการ และแนะนำให้ไปฟ้องศาลปกครอง นาย ก. ไม่รู้จะไปฟ้อง ณ ศาลใด อย่างไรก็ดี ในฝรั่งเศสซึ่งเป็นแบบฉบับของการใช้ระบบศาลคู่ ได้แก้ปัญหาขัดแย้งนี้ โดยการจัดตั้งศาลปกครองพิเศษขึ้น เรียกว่า “Tribunal des Conflite” หรือศาลพิจารณาการขัดแย้ง ประกอบด้วย ผู้พิพากษา ของศาลยุติธรรมสูงสุด และศาลปกครองสูงสุด แต่ละฝ่ายจำนวนเท่ากัน ศาลนี้จะทำหน้าที่วินิจฉัยว่า ศาลยุติธรรม หรือศาลปกครอง มีเขตอำนาจหน้าที่เหนือคดี และศาลนี้จะต้องตัดสินคดีเอง หากศาลยุติธรรม และศาลปกครอง ตัดสินชี้ขาดขัดแย้งกัน

ศาลทหาร (Military Court)
          ได้มีขึ้นเป็นของคู่กันมาตั้งแต่มีการทหารไว้ป้องกันประเทศ จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ระบบศาลทหารไทยปรากฏตามกฎหมายลักษณะขบฎศึก จุลศักราช 796 ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตั้งแต่รัชกาลที่ 1 ถึงรัชกาลที่ 5 มีศาลกลาโหม ชำระความที่เกี่ยวกับทหารและยังชำระความพลเรือนด้วย ทั้งนี้ เนื่องจากสมุหพระกลาโหมนั้นมิได้มีเพียงอำนาจหน้าที่เฉพาะการบังคับบัญชาทหารบก ทหารเรือ เท่านั้น แต่ยังมีหน้าที่จัดการปกครองหัวเมืองฝ่ายใต้ด้วย ศาลที่ขึ้นอยู่ในกระทรวงกลาโหมมีทั้งศาลที่ตั้งอยู่ในกรุงเทพ และศาลในหัวเมืองฝ่ายใต้ด้วย ศาลกลาโหมจึงมีลักษณะเป็นทั้งศาลทหารและศาลพลเรือน
          พ.ศ. 2434 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ปรับปรุงในเรื่องการศาลทั้งหมด โดยให้ตั้งกระทรวงยุติธรรมขึ้น และรวบรวมศาลซึ่งกระจัดกระจายสังกัดอยู่ในกระทรวง ทบวง กรม ต่าง ๆ เข้ามาสังกัดกระทรวงยุติธรรมจนหมดสิ้นทุกศาล ยกเว้นแต่เพียงศาลทหารเพียงศาลเดียวที่ยังคงให้สังกัดกระทรวงกลาโหมอยู่ตามเดิม ศาลในประเทศไทยจึงแบ่งได้เป็นศาลกระทรวงยุติธรรมกับศาลทหารนับแต่นั้นมา
ศาลทหารสามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภท คือ
  1. ศาลทหารในเวลาปกติ
  2. ศาลทหารในเวลาไม่ปกติ
  3. ศาลอาญาศึก

คดีที่อยู่ในอำนาจศาลทหาร

          าลทหาร มีอำนาจ พิจารณาพิพากษาลงโทษผู้กระทำความผิดอาญาซึ่งเป็นบุคคลที่อยู่ในอำนาจศาลทหารในขณะกระทำผิด สั่งลงโทษบุคคลใดๆ ที่กระทำผิดฐาน ละเมิดอำนาจศาล นอกจากนี้ยังกำหนดให้มีอำนาจในการพิจารณาคดีอย่างอื่นได้อีกตามที่จะมีกฎหมายบัญญัติเพิ่มเติม ที่เคยมีมาแล้วเช่น ความผิดฐานกระทำการอันเป็นคอมมูนิตส์ เป็นต้น สำหรับอำนาจในการรับฟ้องคดีของศาลทหารแบ่งได้ดังนี้ ศาลจังหวัดทหารจะรับฟ้องคดีที่จำเลยมีชั้นยศเป็นนายทหารประทวน ศาลมณฑลทหารจะรับฟ้องคดีที่จำเลยมีชั้นยศตั้งแต่ชั้นประทวนจนถึงชั้นยศสัญญาบัตรแต่ไม่เกินพันเอก ส่วนศาลทหารกรุงเทพจะรับฟ้องได้หมดทุกชั้นยศ นอกจากนี้ชั้นยศจำเลยมีผลต่อการแต่งตั้งองค์คณะตุลาการที่จะพิจารณาคดีด้วย โดยองค์คณะตุลาการที่จะแต่งตั้งนั้นอย่างน้อยต้องมีผู้ที่มียศเท่ากันหรือสูงกว่าจำเลย

คดีที่ไม่อยู่ในอำนาจศาลทหาร

          แยกเป็น 4 ประเภท คือ
  • ประเภทแรก ได้แก่บุคคลที่อยู่ในอำนาจศาลทหารกับบุคคลที่ไม่อยู่ในอำนาจศาลทหารกระทำผิดด้วยกัน
  • ประเภทที่สอง ได้แก่คดีที่เกี่ยวพันกับคดีที่อยู่ในอำนาจศาลพลเรือน
  • ประเภทที่สาม ได้แก่คดีที่ต้องดำเนินในศาลเยาวชนและครอบครัว เนื่องจากอายุของผู้กระทำความผิด ซึ่งคงจะมีแต่เฉพาะนักเรียนทหาร
  • ประเภทที่สี่ ได้แก่คดีที่ศาลทหารเห็นว่าไม่อยู่ในอำนาจศาลทหาร คดีประเภทนี้คงจะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ 2 ประการ ประการแรก คือ ได้มีการฟ้องคดียังศาลทหารแล้ว ประการที่สอง คือ เป็นคดีที่ไม่เข้าหลักเกณฑ์ในสามประเภทแรก

บุคคลที่อยู่ในอำนาจศาลทหาร

  • กลุ่มแรก ได้แก่ ทหาร แยกเป็น 2 ประเภท คือ
  1. ทหารประจำการได้แก่ ทหารที่ยึดเอาการรับราชการทหารเป็นอาชีพ ซึ่งมีทั้งทหารประจำการชั้นสัญญาบัตร ชั้นประทวน และทหารที่ไม่มียศที่เรียกกันว่า พลทหารอาสาสมัคร
  2. ทหารกองประจำการ คือ ทหารเกณฑ์ หรือทหารที่สมัครเข้ากองประจำการเพราะกฎหมายบังคับให้ต้องเป็นทหาร
  • กลุ่มที่สอง ได้แก่ นักเรียนทหาร หมายถึง นักเรียนทหารที่กำหนดขึ้นโดยกระทรวงกลาโหม เช่น นักเรียนนายร้อย นักเรียนนายเรือ นักเรียนเตรียมทหาร นักศึกษาวิทยาลัยแพทย์ศาสตร์พระมงกุฎเกล้า นักเรียนทหารดังกล่าวหากมีอายุอยู่ในเกณฑ์ที่จะต้องดำเนินคดีในศาลเยาวชนและครอบครัว หากพ้นเกณฑ์อายุก็จะต้องถูกดำเนินคดีในศาลทหาร
  • กลุ่มที่สาม คือบุคคลที่มิได้เป็นทหาร จำแนกได้เป็น 3 ประเภท คือ
  1. บุคคลที่เป็นข้าราชการกลาโหมพลเรือน เป็นลูกจ้างในสังกัดกระทรวงกลาโหม เมื่อกระทำความผิดต่อหน้าที่ราชการโดยมาจำกัดพื้นที่ หรือความผิดอาญาอื่นโดยจำกัดพื้นที่เฉพาะในบริเวณที่ตั้งหน่วยทหาร
  2. บุคคลที่อยู่ในความควบคุมของเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารโดยชอบด้วยกฎหมาย เช่น พยานที่ถูกศาลทหารออกหมายจับมาเพื่อเบิกความ
  3. บุคคลที่เป็นเชลยศึกหรือชนชาติศัตรูในช่วงเวลาที่มีศึกสงคราม

การแต่งตั้งตุลาการ

  • ตุลาการศาลทหารสูงสุด และตุลาการศาลทหารกลาง ให้นำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้งและถอดถอน
  • ตุลาการศาลทหารชั้นต้น และศาลประจำหน่วยทหาร พระมหากษัตริย์ทรงมอบพระราชอำนาจแก่ผู้บังคับบัญชาทหาร และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นผู้แต่งตั้งและถอดถอน
  • ตุลาการในศาลทหารชั้นต้น ผู้มีอำนาจบังคับบัญชาจังหวัดทหาร เป็นผู้มีอำนาจแต่งตั้งตุลาการศาลจังหวัดทหาร ผู้มีอำนาจบังคับบัญชามณฑลทหาร เป็นผู้มีอำนาจแต่งตั้งตุลาการศาลมณฑลทหาร ผู้มีอำนาจบังคับบัญชาหน่วยทหาร เป็นผู้มีอำนาจแต่งตั้งตุลาการศาลประจำหน่วยทหารและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นผู้มีอำนาจแต่งตั้งตุลาการศาลทหารกรุงเทพ

วันศุกร์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2559

กว่าจะมาเป็นผู้พิพากษา

กว่าจะมาเป็นผู้พิพากษา

            ชีวิตคือการเดินทางที่แสนไกล บางครั้งเมื่อฉันมองย้อนกลับไปก็อดแปลกใจไม่ได้ว่าฉันเดินมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร ชีวิตของฉันเริ่มต้นที่หมู่บ้านเล็กๆบนภูเขาแห่งหนึ่งในจังหวัดทางภาคอีสานตอนบน  ตั้งแต่เด็ก ทุกคนมองว่าฉันเป็นเด็กขี้อาย ไม่กล้าสู้หน้าคนแปลกหน้า ติดยาย เวลาไปไหนมาไหน ยายจะตามไปด้วยตลอดเวลา ในช่วงวัยเรียนประถม ฉันชอบอ่านหนังสือมาก ในขณะที่เพื่อนๆ ไปวิ่งเล่นกัน ฉันก็จะอ่านหนังสืออยู่ในห้องสมุดของโรงเรียน  โรงเรียนของฉันเป็นโรงเรียนเล็กๆ ในชนบทห่างไกล ไม่ค่อยมีหนังสือให้อ่าน ดังนั้น ฉันจึงอ่านหนังสือในโรงเรียน ทุกเล่ม เล่มละหลายๆรอบ...
            เมื่อฉันจบการศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ พ่อแม่บอกว่าไม่มีเงินส่งฉันเรียนในชั้นมัธยมศึกษา ประกอบคนในหมู่บ้านของฉันก็ไม่มีใครเรียนต่อกัน ดังนั้น ฉันจึงต้องหยุดเรียนและออกมาช่วยพ่อแม่ทำไร่ทำนา  แต่ด้วยความที่ฉันถูกเลี้ยงมาแบบทะนุถนอม ยายไม่เคยปล่อยให้ฉันทำงานบ้านเอง ฉันจึงโตมาแบบทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง ทำกับข้าวไม่เป็น  ทำไร่ทำนาก็ไม่ไหว จนคนรอบข้าง มองฉันแล้วส่ายหน้า พร้อมกับพูดว่า ถ้าฉันไม่มีพ่อแม่ ยาย แล้ว ชีวิตฉันจะอยู่ได้อย่างไร ตอนนั้นฉันอายุสิบเอ็ดขวบ ฉันมีความคิดว่า ฉันไม่ชอบการทำไร่ทำนา เพราะมันเหนื่อย ฉันอยากเรียนหนังสือสูงๆ ทำงานดี ส่งเงินให้พ่อแม่ ฉันจึงขวนขวายที่จะเรียนการศึกษานอกโรงเรียน ฉันจึงขอพ่อไปเรียนการศึกษานอกโรงเรียน พ่อก็อนุญาต แต่แม่มีข้อแม้ว่า ฉันจะไม่ได้ซื้อเสื้อผ้าใหม่ประจำปี  ไม่ได้สร้อยคอทองคำใส่  เหมือนกับเพื่อนๆ ในหมู่บ้าน ฉันก็ตกลง  
                     ต่อมาฉันจึงได้ไปเรียนการศึกษานอกโรงเรียน ที่จังหวัดข้างเคียง อยู่ห่างจากหมู่บ้านของฉันประมาณ สามสิบกิโลเมตร ฉันต้องเดินจากหมู่บ้านประมาณสามกิโลเมตร เพื่อขึ้นรถเมล์ไปเรียนทุกวันอาทิตย์  ยาย เป็นห่วงฉันมาก จึงเดินตามมาส่งฉันทุกอาทิตย์ และรอฉันอยู่ที่ปากทางเข้าหมู่บ้านจนกระทั่งฉันกลับมาในตอนเย็น ภาพที่คนแถวนั้นเห็นจนชินตา คือ จะมียายหลานคู่หนึ่ง เดินขึ้นเขาลงเขา ทุกวันอาทิตย์ ตอนเช้า และตอนเย็น   ฉันใช้เวลา สองปี จึงเรียนได้วุฒิเทียบเท่า ชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ สาม ขณะนั้น ฉันอายุ สิบห้าปีพอดี ฉันจึงขอพ่อแม่ เข้ากรุงเทพเพื่อหางานทำและหาที่เรียนต่อ พ่ออนุญาต และแม่มีข้อแม้ว่า ฉันต้องส่งเงินให้แม่ทุกเดือน เพราะถ้าฉันไปก็ไม่ใครช่วยพ่อแม่ทำไร่ทำนา  หลังจากนั้น ฉันและเพื่อนในหมู่บ้านอีกหลายคนก็ไปหางานที่สำนักจัดหางานประจำอำเภอ ฉันและเพื่อนถูกส่งไปทำงานที่โรงงานปลาทูน่ากระป๋องในจังหวัดนครปฐม ฉันและเพื่อน ทำงานวันแรก ก็คลื่นไส้ เป็นลม เพราะเหม็นปลาทูน่า  มีหลายคนที่ทำงานไม่ไหว และลาออกในวันรุ่งขึ้น  ส่วนฉันคิดว่าฉันทนได้ เพราะเป้าหมายของฉันคือการได้เรียนต่อ ฉันคิดว่าที่นี่เหมาะกับฉันเพราะ ฉันทำงานเข้ากะกลางคืน ในเวลากลางวันฉันก็จะสามารถไปเรียนต่อได้ตามความฝัน และฉันเห็นพนักงานที่โรงงานนี้ ก็เรียนต่อที่ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนกันหลายคน ฉันประทับใจกับคำพูดของเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคล ที่บอกว่า “อย่าคิดว่างานที่ทำเป็นงานที่ต่ำต้อย งานทุกอย่างมีคุณค่าในตัวเอง” ซึ่งฉันก็เห็นด้วยและคิดว่าฉันได้เรียนรู้อะไรมากมายจากการทำงานนี้ เป็นต้นว่า การฝึกความอดทน ไม่ย่อท้อต่อการทำงานหนัก ซึ่งเป็นพื้นฐานทำให้จิตใจเข้มแข็ง สามารถฝันฝ่าอุปสรรคต่างๆไปได้   ฉัน ทำงานอยู่ได้หนึ่งเดือน ทางโรงงานประสบปัญหาขาดทุนและเลิกจ้างพนักงานใหม่ ฉันจึงต้องออกจากงาน และย้ายไปทำงานโรงงานทอผ้า อีกแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้เคียงกัน ทำงานอยู่ได้หกเดือน ฉันก็ยังมองไม่เห็นหนทางที่จะได้เรียนต่อ ฉันจึงตัดสินใจกลับไปตั้งหลักที่บ้าน อยู่บ้านได้สักพัก ฉันก็ชวนเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ไปหางานที่อำเภอ เราสัญญากันว่า จะไปหางานทำด้วยกันและหาที่เรียนด้วยกัน จากนั้น ฉันและเพื่อนถูกส่งไปทำงานที่โรงงานผลไม้กระป๋อง  ทำงานได้สักระยะ เพื่อนของฉันบอกว่า เค้าทนลำบากไม่ไหวแล้ว อยากจะกลับบ้าน ตัวฉันยังไม่อยากกลับบ้าน แต่ไม่มีเพื่อนอยู่ด้วย ฉันก็กลัว จึงต้องตามเพื่อนกลับบ้าน  พอกลับไปอยู่บ้านสักพัก ฉันก็หาเพื่อคนใหม่ เพื่อไปหางานทำด้วยกันอีกครั้ง ฉันและเพื่อนอีกสี่คน ไปหางานที่สำนักจัดหางานประจำอำเภอ และถูกส่งกลับไปทำงานที่โรงงานปลากระป๋องในจังหวัดนครปฐม ที่เดียวกับที่ฉันเคยไปครั้งแรก ขณะนั้นกิจการดีขึ้นแล้ว  ฉันรู้สึกดีใจมากและคิดว่าคราวนี้คงได้เรียนต่อสมใจซะที  หลังจากทำงานได้สักระยะ ฉันก็สมัครเรียนการศึกษานอกโรงเรียนใกล้ๆกับที่ทำงาน  แต่แล้วฉันก็ประสบปัญหาเดิมๆ นั่นคือ เพื่อนที่มาจากหมู่บ้านเดียวกัน เค้าอยากจะกลับบ้านอีกแล้ว ฉันจึงตัดสินใจที่จะไม่ตามเพื่อนกลับบ้าน และนั่นเป็นครั้งแรกที่ฉันต้องอยู่ท่ามกลางคนแปลกหน้า โดยไม่มีคนจากหมู่บ้านเดียวกันอยู่ด้วย  และแล้วฉันก็ผ่านมันไปได้ ด้วยความเหน็ดเหนื่อย ท้อแท้  สิ่งที่ฉันยังจำได้ติดใจ คือ มีอยู่วันหนึ่ง ฉันเดินเข้าไปขออนุญาตหัวหน้างาน ขอเลิกงาน ห้าโมง เย็นโดยไม่ทำโอทีต่อถึง สองทุ่ม เพราะวันรุ่งขึ้นฉันต้องไปสอบ  คำตอบที่ฉันได้รับคือ หน้าตาบึ้งตึงของหัวหน้างานพร้อมกับคำพูดเสียงแข็งว่า ไม่ได้ งานก็คืองาน  วันนั้นฉันจึงต้องทำงานถึงสองทุ่ม และไปสอบในตอนเช้า โดยมีเวลาอ่านหนังสือเพียงน้อยนิด  แต่ในที่สุด ฉันก็ได้วุฒิ ม. ๖ มาครอบครอง ซึ่งในเวลานั้น ฉันไม่รู้ว่าจะเอาวุฒิ ม. ๖ ไปทำงานอะไร หรือเรียนอะไร มีแต่คนรอบข้างที่บอกฉันว่า ขนาดคนที่เรียนในระบบโรงเรียน ยังตกงาน ยังไม่สามารถเรียนให้จบมหาวิทยาลัยได้เลย แล้วเด็กบ้านนอก จบกศน อย่างฉัน จะไปทำอะไรได้  ตอนนั้น ฉันเหน็ดเหนื่อยทั้งกายและใจ จึงตัดสินใจกลับไปตั้งหลักที่บ้านอีกครั้ง   
                    พอกลับไปบ้านสักพัก ความอยากเรียนต่อของฉันก็เร่งรัดให้ฉันเข้ามากรุงเทพอีกครั้งเพื่อหางานทำและหาที่เรียน คราวนี้ฉันมาทำงานก่อสร้าง พร้อมกับคนในหมู่บ้าน โดยมีแม่ตามมาทำงานด้วย ฉันทำงานก่อสร้างอยู่ได้เจ็ดวัน ก็เหน็ดเหนื่อยมากๆ จึงออกไปสมัครงานโรงงานอีกครั้ง และได้ทำงานโรงงานทำชิ้นส่วนอิเล็กทรอนนิกส์แห่งหนึ่ง ในจังหวัดสมุทรปราการ เมื่อได้งานแล้วฉันก็ส่งแม่กลับบ้านนอก    ฉันชอบที่นี่มาก งานสบาย สวัสดิการดี กว่าโรงงานที่ฉันเคยทำเยอะ ฉัน ตั้งใจว่า จะสมัครเรียนรามคณะรัฐศาสตร์ เพราะมีคนบอกว่า จบ กศน. อย่างฉัน เรียนได้แค่รัฐศาสตร์รามเท่านั้น   ฉันทำงานที่นี่ได้สี่เดือน และกำลังจะสมัครเรียนราม แต่อนิจจา โรงงานที่ฉันทำงานอยู่ มีนโยบายไม่รับพนักงานประจำ คือจะจ้างพนักงานแค่สี่เดือนแล้วเลิกจ้าง  จากนั้นก็รับสมัครพนักงานใหม่ ฉันจึงถูกเลิกจ้างด้วยประการฉะนี้  เมื่อตกงาน ฉันจึงต้องพักเรื่องการมัครเรียนต่อไว้ก่อน             ต่อมาฉันได้งานใหม่ ที่โรงงานทำเครื่องแฟกซ์ แถว อำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา ที่นี่ เงินเดือนไม่ได้เท่าที่เดิม แต่ก็วันหยุดเยอะดี  ต่อมาฉันก็วางแผนจะสมัครเรียนรามอีกครั้ง ตอนนั้นฉันคิดว่า ฉันคงเรียนสาขารัฐศาสตร์ไม่ได้ เพราะ วิชาพื้นฐานเยอะมาก และฉันไม่ได้เรียนมัธยมในระบบโรงเรียน คงตามเพื่อนไม่ทัน  ส่วนคณะนิติศาสตร์ วิชาพื้นฐานน้อยดี วิชาหลักก็ไม่มีสอนในชั้นมัธยม มาเริ่มต้นพร้อมกัน ฉันคงพอเรียนได้
          เทอมแรก ฉันเลือกลงทะเบียนเรียนวิชาที่สอบเสาร์อาทิตย์ เพื่อจะได้ไม่ต้องลางาน   ผลสอบในเทอมหนึ่งเป็นที่น่าพอใจ  เทอมต่อมา วิชาที่เรียนเริ่มยากและเยอะขึ้น ฉันจึงมีความคิดว่าฉันควรย้ายไปทำงานโรงงานที่มี สามกะ จะได้ไม่ต้องลางาน  ฉันจึงย้ายมาทำงานที่โรงงานประกอบชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ซึ่งอยู่ใกล้เคียงกัน นับเป็นโชคดีของฉัน ที่วันสอบของวิชาที่ฉันจะลงทะเบียนเรียนตรงกับช่วงที่ฉันเข้ากะดึกพอดี   ฉันลงทะเบียนเรียนสองวิชาที่สอบวันเดียวกันเพื่อให้พอดีกับวันที่เข้ากะดึก ผลคือ ตอนเช้าสอบรามหนึ่ง ตอนบ่ายสอบรามสอง ตอนดึก ก็ไปทำงาน   ขณะนั้นฉันมีแต่ความมุ่งมั่นที่จะอ่านหนังสือ สอบ และทำงานโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย  แต่พอสอบเสร็จ ฉันรู้สึกเหน็ดเหนื่อยเป็นอย่างมาก หมดแรง  ใจสั่น กินข้าวไม่ได้  น้ำหนักลด    ฉันได้เรียนรู้ว่านี่คือผลของการใช้งานร่างกายหนักเกินสมควร แม้ใจเราสู้ แต่ถ้าเกินกำลังร่างกายรับไม่ไหว หลังสอบเทอมเสร็จ ฉันเหน็ดเหนื่อย เมื่อยล้าจนต้องลาออกจากงานกลับไปพักผ่อนที่บ้านนอก ฉันกลับมากรุงเทพอีกครั้ง ช่วงเปิดเทอม และได้งานที่ร้านเซ่เว่น สาขาซอยมหาดไทย  และหาเวลาไปเรียนในช่วงเข้ากะดึกและกะบ่าย เป็นครั้งแรกที่ฉันมีโอกาสได้ฟังคำบรรยายที่มีอาจารย์สอนแทนการอ่านหนังสือ  ในขณะที่คนอื่นคิดว่าการนั่งเรียนเป็นเร่ืองน่าเบื่อ อ่านหนังสืออย่างเดียวดีกว่าเร็วดี แต่สำหรับฉันแล้วรู้สึกว่าเป็นเร่ืองโชคดีมากที่มีโอกาสได้รับทั้งความรู้และประสบการณ์โดยตรงจากผู้สอน บางครั้งอาจารย์ไม่ได้ถ่ายทอดเฉพาะความรู้เท่านั้น แต่ยังถ่ายทอดประสบการณ์ดีๆที่ท่านเคยประสบการณ์ มาให้เราด้วย ดังนั้น ฉันจึงตั้งใจเรียน เกี่ยวทั้งความรู้และประสบการณ์ที่มีคุณค่าของท่าอาจารย์ มาปรับใช้ในการเรียนและการดำเนินชีวิตประจำวัน ตั้งแต่เล็กจนโตใครๆก็บอกว่าฉันเงียบมาก มีแต่คนถามฉันว่าทำไมไม่พูดอะไรซะบ้าง เวลาไปไหนจะมีคนเป็นห่วงฉันมาก พวกเขากลัวฉันจะถูกหลอก พอมีคนบอกแบบนี้บ่อยๆฉันก็เริ่มไม่มั่นใจในตัวเอง อยากเป็นคนพูดเก่งกะเขาบ้าง และนี่คือสาเหตุหลักที่ทำให้ฉันไปสมัครอบรมการพูดที่ ศูนย์พัฒนาการพูดรามคำแหง ที่นี่ฉันมีเพื่อนมากมายและไม่อยากจะทำงานอีกต่อไป ประกอบกับช่วงนั้นมีโครงการกู้ยืมเงินเพื่อการศึกษา ฉันจึงตัดสินใจ ลาออกจากงานและกู้เงินเรียน  หลังจบการอบรม ฉันยังเป็นสมาชิกของศูนย์แห่งนี้ และได้มีโอกาสจัดเตรียมการอบรมการพูดในรุ่นต่อๆมา    ฉันมีโอกาสได้ทำหน้าที่ต่างๆในการจัดเตรียมงานอบรมในหลายครั้ง เช่น เป็นพิธีกรดำเนินรายการ   เป็นฝ่ายจัดหางบประมาณ
        สิ่งหนึ่งที่ฉันได้เรียนรู้จากที่นี่คือ “พูดดี” กับ “พูดมาก” เป็นคนละเรื่องกัน คนที่พูดจาคมคาย ฉลาดเฉียบแหลมไม่จำเป็นต้องพูดมากเสมอไป และนั่นทำให้ฉันมั่นใจกับการเป็นคนพูดน้อยของตัวเองมากขึ้น  ฉันได้รับความรู้ ประสบการณ์และเพื่อน จากที่นี่มากมาย ทำให้ฉันเป็นคนกล้าแสดงออกมากขึ้นรู้จักการทำงานร่วมกับคนอื่น ซึ่งฉันสามารถนำไปปรับใช้กับชีวิตประจำวันได้จนถึงทุกวันนี้           ฉันใช้เวลาสามปีก็จบการศึกษาในระดับปริญญาตรี ในรุ่น ๒๕ ฉันเคว้งคว้างอยู่สักพัก หางานทำไม่ได้ ฉันไม่ค่อยชินกับการเรียนอย่างเดียวโดยไม่ได้ทำงาน ฉันสัญญากับตัวเองว่าถ้าหางานทำได้แล้วฉันจะตั้งใจทำงานอย่างดีที่สุด   นับว่าเป็นโชคดีของฉันที่ยังกู้เงินจากกองทุนกู้ยืมฯได้เพราะเป็นช่วงเวลาที่คาบเกี่ยวกัน นั่นทำให้ฉันไม่ต้องขวนขวายหางานมากนัก  การเรียนที่เนติฯ ฉันเข้าฟังคำบรรยาย ทั้ง ภาคปกติ ภาคค่ำ ภาคทบทวน  ก่อนเข้าเรียนฉันจะไปนั่งอ่านคำบรรยายของปีก่อนๆ และหนังสือที่ห้องสมุด   สำหรับฉันแล้วหนังสือที่ห้องสมุดเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามาก เพราะหนังสือหลายเล่มเขียนโดยอาจารย์ผู้ทรงความรู้และไม่มีขายในท้องตลาดแล้ว นับว่าเป็นโชคดีของฉันที่ไม่มีเงินซื้อหนังสือข้างนอกมาอ่าน จนต้องใช้วิธียืมหนังสือจากห้องสมุดมาอ่าน เมื่อยืมมาแล้วก็ต้องอ่านให้จบ ทำโน๊ตย่อไว้เพื่อทบทวนเพราะไม่ใช่หนังสือของเรา ตลอดเวลาสามปีที่รามและหนึ่งปีที่เนติ ฉันอ่านหนังสือในห้องสมุดแทบทุกเล่ม ตอนนั้นฉันสงสารตัวเองมากที่ไม่มีเงินซื้อหนังสือมาอ่าน แต่พอมองย้อนกลับไป พบว่า นั่นคือโชคดีมหาศาล  ที่ทำให้ฉันมีความตั้งใจ อ่านหนังสือให้ได้เยอะ ๆเร็วๆ ฉับพบว่า หลังจากที่ฉันมีเงินซื้อหนังสือแล้ว ความขยันอ่านหนังสือหายไปเพราะคิดว่า หนังสือเป็นของเรา จะอ่านเมื่อไหร่ก็ได้ สุดท้าย ฉันมีหนังสือเต็มห้องแต่ยังอ่านไม่ครบทุกเล่ม
       ในการฟังคำบรรยาย หรืออ่านหนังสือแต่ละครั้งฉันจะทำโน๊ตย่อ ไปด้วย (ฉันไม่เคยกลับไปอ่านโน๊ตย่อของตัวเองหรอกแต่คิดว่านี่คือวิธีการหนึ่งที่ทำให้ฉันมีสมาธิจดจ่ออยู่กับการฟังหรือการอ่านได้) และจดเลขฏีกาที่น่าสนใจไว้ และไปค้นฎีกาย่อยาวที่ที่ห้องสมุดแล้วนำมาถ่ายเอกสารเก็บไว้เป็นหมวดหมู่  หลายครั้งที่ฉันอ่านฎีกาย่อ หรือฟังอาจารย์พูดแล้วไม่เข้าใจ ฉันก็จะไปหาฎีกาย่อยาวมาอ่าน  ฉันชอบอ่านฏีกาที่มีหมายเหตุท้ายฎีกาที่อธิบายหลักกฎหมายนอกเหนือไปจากประเด็นที่ฎีกานั้นตัดสิน ทำให้ฉันมองเห็นภาพกว้างของหลักกฎหมายเหล่านั้น นอกจากนี้ฉันยังชอบเดินไปที่ร้านถ่ายเอกสารที่หน้าห้องบรรยายชั้นสี่ ที่นี่จะมีชีทมากมายทั้งของอาจารย์และเพื่อนนักศึกษาผู้มากด้วยน้ำใจ  บางครั้งการอ่านในหนังสือให้ความรู้สึกหนักๆ พอมาอ่านข้อมูลในชีทรู้สึกว่าเข้าใจง่ายกว่า  (คิดไปเองหรือเปล่าไม่รู้นะ) อ่านไปก็รู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจของผู้จัดทำเป็นอย่างมาก    ฉันใช้เวลาเรียนหนึ่งปีก็จบเนติฯในสมัยที่ ๕๒              

ต่อมา ฉัน สอบเข้าบรรจุเป็นข้าราชการที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ปีแรกที่ทำงานที่นี่ฉันมีความสุขมากๆ ฉันประทับใจกับการอบรมพนักงานใหม่ซึ่งให้ข้อคิดกับฉันว่า อะไรก็ตามถ้าเราทำถูกวิธีมันจะไม่เหนื่อย และประสบความสำเร็จได้ง่าย  ถ้าเราทำอะไรแล้วเหนื่อยและไม่ได้ผล แสดงว่าเราทำผิดวิธีเราต้องหาวิธีการใหม่   ฉันก็ได้ใช้หลักการข้อนี้ มาปรับใช้กับการเตรียมตัวสอบผู้พิพากษา  เพื่อนๆที่บรรจุพร้อมกันบอกว่างานที่นี่เหนื่อย หนัก เครียด แต่ในความรู้สึกของฉันคือ สบายกว่างานโรงงานที่ฉันทำตั้งเยอะ
            นอกจากนี้ฉันยังประทับใจกับการได้ไปปฏิบัติธรรมเป็นเวลา ๗ วัน  การอบรมครั้งนั้นทำให้มุมมองเกี่ยวกับการศาสนาของฉันแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าศาสนาพุทธ จะสอนมีเหตุมีผลขนาดนี้ ตอนนั้นฉันไม่ค่อยเข้าใจธรรมะมากมายหรอก  รู้แค่ว่า ถ้าฉันได้ปฏิบัติธรรมบ่อยๆจะทำให้จิตใส สงบ ผ่องใส เยือกเย็น มีความจำดี ช่วยให้การศึกษาเล่าเรียนดี มีสติปัญญาเฉียบแหลม เป็นเรื่องจริงนะที่เค้าบอกว่า ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน เมื่อ ใจมันอยากไป แม้จะภาระมากมายแค่ไหน ในที่สุดฉันก็หาเวลาและสถานที่ไปปฏิบัติธรรมแทบทุกเดือนจนได้ สามวันบ้าง ห้าวันบ้าง แล้วแต่โอกาสจะอำนวย จะว่าไปแล้วฉันเตรียมตัวสอบผู้ช่วยผู้พิพากษามาตั้งแต่สมัยเรียนปริญญาตรี การลงทะเบียนเรียนแต่ละวิชาถ้าเลือกได้ฉันจะเลือกวิชาที่มีในการสอบผู้พิพากษา ตอนเรียนเนติฯ ฉันเข้าเรียนทั้งภาคปกติ ภาคค่ำ ภาคทบทวน เพื่อจะเก็บเกี่ยวความรู้ให้ได้มากที่สุด หลังจบเนติฯแล้ว เมื่อมีเวลาว่างฉันจะไปฟังคำบรรยายภาคทบทวน วันอาทิตย์ที่เนติฯ    ฝากเพื่อนอัดเทปคำบรรยายภาคปกติให้ (สมัยก่อนไม่มีคำบรรยายให้ดาวน์โหลดทางเน็ต  หนังสือรวมคำบรรยายเนติ สมัยที่เรียนจบนั้น ฉันได้นำมาแยกรายวิชา และรวมเล่มเพื่อความสะดวกในการอ่าน และสั่งจองคำบรรยายของปีต่อๆมาทุกปี จนกระทั่งสอบได้  สั่งจองคำพิพากษาฎีกาของส่งเสริมฯ (สำนักงานศาลยุติธรรม) ทุกปี จนกระทั่งสอบได้  ไปเนติฯเป็นประจำเท่าที่โอกาสอำนวย เพื่อไปดูหนังสือใหม่ๆที่ร้านหนังสือ และชีทใหม่ๆที่ร้านถ่ายเอกสารชั้นสี่   ตอนที่ยังอายุไม่ครบที่จะสอบ ฉันมัวแต่สนุกกับงาน สนุกเพื่อนใหม่ สถานที่แปลกใหม่ และคิดว่าอายุไม่ครบก็ยังไม่ต้องเตรียมตัวอะไรมากมาย  ดังนั้นแต่ละอาทิตย์ ฉันจึงเพียงแต่อ่านคำบรรยายเนติฯ และฎีกา ที่ส่งมาให้อาทิตย์ละเล่มเท่านั้น นอกนั้น จะชอบอ่านนิยายและหนังสือธรรมะมากกว่า   นับว่าเป็นข้อผิดพลาดและเป็นความประมาทของฉัน   พอฉันมีคุณสมบัติครบที่จะสอบผู้พิพากษาได้ และเริ่มเตรียมตัวอย่างจริงจังก็รู้สึกเสียดายเวลาที่ผ่านมา คิดว่าเราน่าจะเตรียมตัวให้มากๆ ก่อนหน้านี้ตั้งนานแล้ว
            พอมีการประกาศรับสมัครสอบผู้ช่วย ฉันเริ่มจัดตารางเวลาใหม่ เริ่มจาก ตื่นตีสี่ มานั่งสมาธิ สวดมนต์  ออกกำลังกายโดยการเล่นโยคะ  ไปทำงานตอนหกโมงเช้า ถึงที่ทำงานเจ็ดโมง เข้าห้องสมุด ถึงแปดโมงครึ่ง  ก็กลับเข้าห้องทำงาน และเลิกงานสี่โมงหก ตอนเย็นเริ่มอ่านหนังสือประมาณหกโมงเย็นถึงสี่ทุ่ม  (ช่วงนั้นไม่เปิดทีวี และโชคดีที่ตอนนั้นไม่มีเฟสบุค) ก่อนหน้านี้ก็นอนดึกกว่านี้นะแต่ช่วงอ่านหนังสือ สี่ทุ่มก็ง่วงละ ไม่รู้ทำไม    เสาร์อาทิตย์ก็ไม่ค่อยได้อ่านหนังสือนะ ธุระเยอะแยะมากมายไปหมด แต่ก็พยายามไปเรียนทบทวน วันอาทิตย์ที่เนติฯ อัดเทปมาฟังระหว่างซักผ้า กินข้าว หรือช่วงที่อ่านหนังสือแล้วง่วงก็เปลี่ยนมาฟังคำบรรยายแทน เวลาอ่านหนังสือฉันต้องทำโน๊ตย่อไปด้วย เพื่อดึงสมาธิให้มาจดจ่ออยู่กับหนังสือ หรือบางทีก็อ่านออกเสียง อัดเทปไว้(ไม่ได้เอากลับมาเปิดฟังหรอกแค่ทำแก้ง่วงนะ) ช่วงไหนขี้เกียจเขียนก็อ่านอย่างเดียว สลับกับเอาข้อสอบเก่ามาทำ  ถ้าให้ฉันนั่งอ่านหนังสือเล่มเดียวเป็นเวลาหลายชั่วโมง ทำไม่ได้จริง ๆ ขนาดกินกาแฟ ผ่านไปห้านาทีก็ง่วงแล้ว    สิ่งที่อยากจะบอกก็คือ การเรียนรู้ไม่มีรูปแบบหรอก จะทำวิธีไหนก็ได้ขอให้เขียนตอบข้อสอบให้ได้คะแนนดีละกัน  ลองสังเกตตัวเองว่าเรามีความสุขกับการทำอะไร สิ่งนั้นคือสิ่งที่เราชอบเราจะทำได้ดี
                ฉันเป็นคนโชคดีอยู่อย่างคือจะอ่านหนังสือได้เร็วและสายตาปกติ คงเป็นผลจากการรักการอ่านมาตั้งแต่เด็กจึงทำให้เข้าใจสิ่งที่อ่านได้ง่ายๆ หรืออาจเป็นไปได้ว่าสิ่งที่อ่านนั้น ฉันเคยเรียนมาแล้วและทบทวนอยู่เรื่อยๆ แม้จะไม่ค่อยจริงจัง แต่ก็เป็นสิ่งที่เคยผ่านตามาบ้างแล้วจึงทำให้การอ่านหนังสือเป็นไปโดยไม่ลำบากมากนัก ดังนั้น แม้จะใช้เวลาในการอ่านไม่มาก  ก็ได้ความรู้เยอะพอสมควร แต่ก็ยังไม่พอที่จะสอบผ่านในครั้งแรก สมัยเรียนเนติ เคยเอาหนังสือมากองรวมกัน อ่านและโยนไว้อีกกองหนึ่ง พอสอบผู้ช่วยหยิบเล่มไหนก็โยนไม่ได้ เพราะยังไม่เข้าใจเลย  คงเป็นเพราะเนื้อหาที่นำมาออกข้อสอบผู้ช่วยมีเยอะมาก และข้อสอบก็ยากพอสมควร อีกทั้งมีแรงกดดันจากคนรอบข้างที่คาดหวังว่าฉันจะสอบได้อย่างแน่นอน ด้วยความตื่นเต้น ความรู้ไม่แน่น ฉันจึงสอบตกในครั้งแรกด้วยประการฉะนี้   
               ฉันรู้อยู่แล้วตั้งแต่วันที่ออกจากห้องสอบว่าจะสอบไม่ผ่าน  ช่วงสอบเสร็จใหม่ๆฉันอ่านหนังสือกฎหมายไม่ได้เลย เห็นประเด็นที่เคยออกข้อสอบแล้วปวดใจ  ไปเปิดหนังสือ เห็นเราเคยทำเครื่องหมายไว้ ขีดเส้นใต้ไว้ เขียนไว้ว่าน่าออกข้อสอบ แต่ทำไมตอนอยู่ในห้องสอบนึกไม่ออกเลย   เลยเปลี่ยนมาอ่านหนังสือธรรมะแทน มีเวลาว่างก็ไปปฏิบัติธรรม   แต่ตอนนั้นก็ยังหวังปาฎิหารย์อยู่ลึกๆ เมื่อประกาศผลสอบก็รู้ว่าปาฏิหารย์ไม่มีจริง แม้จะทำใจไว้แล้วก็อดเสียใจไม่ได้ ใครๆปลอบยังไงก็ไม่หาย จนมีเพื่อนคนหนึ่งพูดว่า “ สอบตกซะบ้างก็ดี จะได้รู้ความรู้สึกของคนสอบไม่ผ่านบ้างว่าเป็นไง”  คำพูดนั้น ทำให้ฉันได้สติ ระลึกขึ้นมาได้ว่าที่ผ่านมายังไม่เคยสอบตกเลย เวลาเห็นคนอื่นสอบตกเราไม่เห็นรู้สึกอะไรเลย พอเจอกับตัวเอง มันเจ็บลึกจริงๆ นะ  มาคิดอีกที สอบตกก็ดีนะ เราจะได้เข้าใจความรู้สึกของคนอื่นบ้าง   นับว่าเป็นความโชคดีของฉันที่มีการเปิดสอบสนามใหญ่ติดกัน ทำให้ฉันไม่มีเวลาเสียใจนานนัก  เมื่อประกาศสอบอีกครั้ง ทำให้กำลังใจของฉันกลับมาด้วยหวังว่าจะมีโอกาสอีกครั้ง                  ฉันเริ่มต้นสำรวจข้อบกพร่องที่พบในการสอบคราวก่อน  เป็นต้นว่า  ก่อนเข้าห้องสอบฉันเจอเพื่อนและคุยกับเพื่อน ทำให้จิตฟุ้งซ่าน ไม่เป็นสมาธิ ฉันตั้งใจว่า สอบคราวนี้ จะไม่ไปยืนรอหน้าห้องสอบ ก่อนเข้าสอบจะไม่คุยกับใคร  สอบคราวก่อน ฉันมัวแต่สืบว่ามีคนเก็งข้อสอบอะไรกันบ้าง และท่องฎีกาเก็งไป พออยู่ในห้องสอบเมื่อเจอข้อสอบ ฉันก็บอกตัวเองว่านี่แหละฎีกาเก็ง ซึ่งความจริงแล้ว เป็นคนละเรื่องเลย แต่เป็นเพราะใจเราไม่ว่าง มีสิ่งต่างๆอยู่ในหัว จึงทำให้มองไม่เห็นความจริงตรงตามความเป็นจริง ฉันตั้งใจว่าคราวนี้ จะไม่เก็งฎีกาอะไรทั้งสิ้น จะอ่านหนังสือ มีสติอยู่กับปัจจุบัน ทำความเข้าใจไปเรื่อยๆ ได้แค่ไหนแค่นั้น  สอบคราวก่อนฉันเขียนไม่ทัน ฉันก็จะฝึกเขียนให้มากๆ ฉันทำคะแนน แพ่งอาญาได้น้อย ก็เน้นอ่านแพ่งอาญาให้มากขึ้น บางครั้งเมื่อฉันเห็นคนที่อ่านหนังสือสอบอย่างเดียวฉันก็นึกอิจฉาอยากเป็นแบบนั้นบ้างแต่ทำไม่ได้เพราะมีภาระครอบครัวมากมาย  มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ฉันลาพักผ่อนและไปนั่งอ่านหนังสือสามวันเต็ม ทั้งวันโดยไม่พัก ฉันอ่านจูริส จบไปสองสามเล่ม และฉันรู้สึกว่าความรู้เต็มหัวจนหนักอึ้งดพราะสมองซึมซับไม่ทัน ฉันเห็นหนังสือแล้วรู้สึกเวียนหัว อ่านหนังสือไม่ได้ไปอีกสองอาทิตย์  เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ฉันเรียนรู้ว่า การศึกษาหาความรู้ ไม่ใช่การนำข้อมูลจำนวนมหาศาลมายัดใส่สมองภายในครั้งเดียว ยิ่งมากเท่าไหร่ยิ่งดี  แต่เป็นการค่อยซึมซับความรู้ทีละน้อยและฝึกฝนจนเชี่ยวชาญ จุดสำคัญอยู่ที่ความต่อเนื่อง ถ้าเราอ่านหนังสือแค่วันละสองชั่วโมงแต่สามารถจดจำและนำไปปรับใช้ได้ มันจะเป็นความเข้าใจที่นานเท่าไหร่ก็จะไม่ลืม ถ้าเราทำได้ต่อเน่ืองทุกวัน ความรู้ที่มีจะค่อยๆเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ โดยที่เราไม่ต้องเหนี่อยฟรี นับแต่นั้นฉันจึงคิด เป็นความโชคดีของฉันที่ได้ ทำงานและเรียนด้วยมาโดยตลอด  มันทำให้ฉันมีทั้งความรู้และประสบการณ์ที่นำมาใช้ด้วยกันได้อย่างลงตัว  ในการสอบครั้งที่สองฉันมีสติมากกว่าการสอบครั้งแรก แก้ไขข้อบกพร่องได้บางส่วน ทำข้อสอบได้ครบทุกข้อ หลังสอบเสร็จ รู้สึกว่าทำได้มากกว่าครั้งแรกแต่ก็ไม่อยากคาดหวังอะไร มากมาย เมื่อประกาศผลสอบแนสอบผ่านด้วยคะแนนที่เฉียดฉิว
     นับจากวันที่ฉันสอบผ่านได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยผู้พิพากษา จนถึงวันนี้ เป็นเวลาแปดปีเศษ หลายครั้งที่มองย้อนกลับไปแล้วรู้สึกว่า แทบไม่น่าเชื่อว่าเด็กบนดอยคนหนึ่งจะมายืนจุดนี้ได้  สิ่งหนึ่งที่ทำให้ฉันมีวันนี้ได้ คือความรักแบบไม่มีเงื่อนไขของคนในครอบครัวไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ ยาย น้องสาว แม้พวกเค้าจะไม่เข้าใจว่าฉันจะเรียนไปทำไมเยอะแยะมากมาย รู้แต่ว่าฉันอยากเรียนก็สนับสนุนทุกทางเท่าที่จะทำได้ ในขณะที่คนในหมู่บ้านมีแนวคิดว่าการเรียนหนังสือไม่มีประโยชน์เสียเวลาทำมาหากินและมีตัวอย่างของคนในหมู่บ้านที่ไปเรียนจบมาแล้วก็แต่งงานเลี้ยงลูกโดยไม่ได้ประกอบอาชีพตามที่เรียนมาเลย ดังนั้น พวกเค้าจึงไม่คิดที่จะส่งลูกหลานเรียนต่อ  ส่วนพ่อของฉันอยากให้ฉันเรียนอยู่แล้วแต่ไม่มีเงินส่งเรียน เมื่อฉันขอไปเรียน กศน. พ่อก็อนุญาต  ส่วนแม่และยายแม้จะไม่เห็นด้วยแต่ก็ไม่เคยห้าม มีแต่ช่วยสนับสนุนทุกทาง ยายมารับส่งทุกครั้งที่ไปเรียน ตอนที่ฉันเข้ามาทำงานกรุงเทพ แม่และยายก็ยอมแม้ว่าจะคิดถึงและเป็นห่วงฉันมากแค่ไหน  คนข้างบ้านบอกว่าแม่ฉันจิตใจเข้มแข็งมากๆ ที่ยอมให้ลูก อายุไม่ถึงยี่สิบปีมาอยู่กรุงเทพเพียงลำพัง ฉันคิดว่าที่แม่ยอมเพราะแม่เชื่อว่าฉันดูแลตัวเองได้ดี และฉันสัญญากับตัวเองว่าจะไม่ทำให้ครอบครัวผิดหวัง  ส่วนน้องสาวคนเดียวของฉัน ฉันรักเค้ามาก และเค้าก็รักฉันมากเช่นเดียวกัน ในขณะทำงานฉันส่งเงินกลับบ้านเพื่อให้น้องสาวได้เรียนต่อ ซึ่งเค้าก็ไม่เคยทำให้ฉันผิดหวัง เค้าเรียนดี ตั้งใจเรียน มาโดยตลอด โดยที่ฉันไม่ต้องแนะนำสั่งสอน น้องเดินมาในทางเดียวกันกับที่ฉันเดิน ฉันดีใจที่สามารถเป็นแบบอย่างที่ดีให้น้องได้ บางทีฉันก็รู้สึกว่าน้องสาวของฉันอาจจะรู้สึกกดดัน ที่ใครก็ชื่นชมฉันและคาดหวังว่าน้องจะทำได้เหมือนฉัน ฉันอยากจะบอกน้องสาวว่าถึงแม้วันนี้น้องจะทำไม่ได้เท่าพี่ เพราะมีเหตุปัจจัยที่ต่างกัน ฉัน ก็รักและภูมิใจในตัวเค้ามากและดีใจที่ได้เกิดมาเป็นพี่น้องกัน อะไรที่พี่จะช่วยให้น้องประสบความสำเร็จได้พี่ก็พร้อมจะทำ อย่างเช่น การเปิดเพจธรรมมะกับกฎหมาย เพื่อแนะนำการเรียนกฎหมาย พี่เขียนเพจนี้ขึ้นมาก็เพราะคิดว่าเพจนี้จะเป็นประโยชน์กับน้องของพี่และคนอื่นๆ
........เมื่อก่อนฉันเคยคิดว่าฉันมาจากครอบครัวที่ยากจน แต่วันนี้ฉันรู้แล้วว่าครอบครัวของฉันเป็นครอบครัวที่อบอุ่น สมบูรณ์ที่สุด ตั้งแต่เล็กจนโตฉันไม่เคยเห็นพ่อแม่ทะเลาะกันเลย เงินทุกบาทที่หามาได้ พ่อจะให้แม่เก็บทั้งหมด หากพ่อเอาเงินไปใช้ พ่อจะกลับมาบอกแม่ว่าใช้อะไรไปบ้าง ที่เหลือจะคืนแม่ทั้งหมด พ่อไม่เคยซื้อเสื้อผ้าใส่เอง แม่ซื้อเสื้อผ้าแบบไหนให้ก็ใส่แบบนั้นโดยไม่พูดอะไรสักคำ  พ่อแม่ทำงานหนักเพื่อมาเลี้ยงดูครอบครัว ยายเลี้ยงดูฉันอย่างดี ตอนเด็กฉันไม่เคยถูกตีเพราะมียายคอยปกป้องอยู่เสมอ  ญาติพี่น้องทุกคนรักกันและคอยช่วยเหลือกันอยู่เสมอ สิ่งเหล่านี้ทำให้ฉันเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังและความรักในหัวใจ ที่พร้อมจะเดินตามความฝันของตัวเอง และแบ่งปันความรักให้แก่คนรอบข้าง  ทำให้ฉันเรียนรู้ว่าสิ่งที่ดีที่สุดที่เราจะให้แก่คนที่เรารักได้คือ การให้เค้าได้เป็นตัวเอง ได้ทำในส่ิงที่รักและอยากมีความสุขที่จะทำ และนี่คือสิ่งที่ฉันได้จากครอบครัวของฉัน
...........สิ่งสำคัญอีกอย่างที่ทำให้ฉันเดินมาถึงตรงนี้ได้ นั้น คือ ฉันมีเป้าหมายชัดเจน และหาวิธีการเดินไปสู่จุดหมายนั้น ฉันไม่เคยยอมแพ้  ทุกครั้งที่ทุกอย่างไม่เป็นไปดังหวัง ฉันก็จะบอกกับตัวเองว่า มันต้องมีวิธีการอื่นที่ให้เราเดินไปสู่ความสำเร็จได้ ทุกเรื่องราวในชีวิตที่ผ่านมาไม่ว่าดีหรือร้ายก็สามารถเป็นครูสอนเราได้  สิ่งที่ดีเราก็ดูไว้เป็นตัวอย่างที่ควรทำตาม สิ่งที่ไม่ดีเราก็ดูไว้เป็นตัวอย่างที่ไม่ควรทำตาม   คนเราเกิดมาเพื่อเรียนรู้และเติบโตขึ้น  คนเราไม่รู้หรอกว่า ทำกรรมอะไรไว้จึงได้ตัวตนแบบที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ แต่ถึงวันนี้ วันที่เรายังมีลมหายใจอยู่กับปัจจุบันขณะ เราสามารถเลือกได้ว่าจะเดินไปตามเส้นทางที่กรรมเก่าขีดเส้นไว้ หรือเลือกที่จะสำรวจข้อบกพร่องตัวเอง เลือกแก้ไขนิสัยเสียๆ ของตัวเอง และเลือกแก้ไขในส่ิงที่ผิด เลือกหาวิธีการที่เหมาะกับตัวเอง หาตัวเองให้เจอ   แทนการเลือกโทษโชคชะตาฟ้าดิน พ่อแม่ คนรอบข้าง

บัญชีอัตราเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่งข้าราชการตุลาการ

บัญชีอัตราเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่งข้าราชการตุลาการ
(  ผู้พิพากษา  )

ชั้นศาล
ชั้นเงินเดือน
ตำแหน่ง
เงินเดือน
เงินประจำ ตำแหน่ง
ศาลฎีกา

ประธานศาลฎีกา
๖๔,๐๐๐
๕๐,๐๐๐
ศาลอุทธรณ์


รองประธานฯ
ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์
๖๒,๐๐๐
๔๒,๐๐๐
ศาลชั้นต้น


รองประธานศาลอุทธรณ์
อธิบดีผู้ฯศาลชั้นต้น
๕๙,๐๙๐
๕๗,๑๙๐
๔๑,๕๐๐
๓๐,๐๐๐

ศาลชั้นต้น
ผู้พิพากษาศาลชั้นต้น
๔๔,๙๑๐
๒๗,๑๘๐
๒๓,๓๐๐

ผู้พิพากษาประจำศาล
๒๕,๓๗๐
๒๑,๘๐๐
๗,๙๐๐


ผู้ช่วยผู้พิพากษา
๑๖,๐๒๐
๑๔,๘๕๐

วันพฤหัสบดีที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2559

ผู้พิพากษาเป้าหมายของชาวนิติศาสตร์

หน้าที่ 1 - ผู้พิพากษาเป้าหมายของชาวนิติศาสตร์
ผู้พิพากษาเป้าหมายของชาวนิติศาสตร์


        ในช่วงเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมาคณะนิติศาสตร์ได้กลายเป็นคณะยอดฮิตที่ มีผู้สนใจเลือกเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ  นิติศาสตร์เป็นศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับกฎเกณฑ์ของสังคม เป็นกรอบ เป็นกติกาให้คนในสังคมอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข


        งานวิชาชีพที่เกี่ยวใช้ความรู้ทางด้านนิติศาสตร์นั้นมีอยู่มากไม่ว่าจะเป็นที่ปรึกษาทางด้านกฎหมายให้กับหน่วยงานหรือองค์กรต่างๆ ทนายความ นิติกรในหน่วยงานต่างๆ อัยการหรือที่เรียกว่าผู้ทำหน้าที่ทนายแผ่นดิน เป็นต้น แต่ดูเหมือนว่าเป้าหมายสูงสุดของคนเรียนนิติศาสตร์ส่วนใหญ่จะมุ่งเป้าไปที่ตำแหน่งผู้พิพากษา ผู้ซึ่งต้องค่อยทำหน้าที่ตัดสินอรรถคดี เพื่อผดุงความยุติธรรมให้แก่สังคม


อาชีพผู้พิพากษาถือว่าเป็นอาชีพที่มีเกียรติ มีหน้ามีตา ทั้งหากเมื่อเทียบรายได้กับข้าราชการในหน่วยงานอื่นดูเหมือนว่าข้าราชการตุลาการจะมีรายได้ที่สูงกว่าการเป็นข้าราชการในกรมกองอื่น ทั้งอาชีพนี้เป็นหนึ่งในสามของการใช้อำนาจอธิปไตยอันเป็นอำนาจอันสูงสุดในการปกครองระบอบประชาธิปไตย ร่วมกับ อีกสองอำนาจ อย่างนิติบัญญัติและบริหาร ตำแหน่งผู้พิพากษาจึงเป็นเป้าหมายของชาวนิติศาสตร์ส่วนใหญ่ แต่ใช่ว่าจะสามารถเป็นกันได้ง่ายๆ  แม้การคัดเลือกผู้พิพากษาในแต่ละปีนั้นไม่ได้เป็นการสอบแข่งขันเพื่อคัดเลือกเอาผู้มีคะแนนสูงสุดในการบรรจุเป็นผู้ช่วยผู้พิพากษา(ก่อนจะได้รับโปรดเกล้าฯแต่งตั้งเป็นผู้พิพากษาจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว) แต่เป็นการสอบให้ผ่านเกณฑ์ ที่  สำนักคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม(ก.ต.) กำหนด แต่กระนั้นในแต่ละปีก็มีผู้สอบได้ในหลักร้อยเท่านั้นเอง  และการจะมีคุณสมบัติครบได้สิทธิสอบในการคัดเลือกนั้นปริญญานิติศาสตร์บัณฑิตเพียงอย่างเดียวอาจจะไม่เพียงพอ


บันไดขั้นแรกสู่บังลังค์ผู้พิพากษา
        บันไดขั้นแรกของการก้าวสู่บัลลังค์ผู้พิพากษาคงหนีไม่พ้นการต้องสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีในคณะนิติศาสตร์ ซึ่งมีเปิดสอนเกือบทุกมหาวิทยาลัย ไม่ว่าจะเป็นมหาวิทยาลัยของรัฐ เอกชน มหาวิทยาลัยเปิด หรือแม้กระทั่งในส่วนภูมิภาคก็มีราชภัฎประจำจังหวัด เปิดสอนอยู่อย่างครบครัน ส่วนจะเลือกเรียนที่ไหนนั้นก็คงจะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆประการของผู้เรียน การเรียนในคณะนิติศาสตร์ในระดับปริญญาตรีมีหลักสูตรสี่ปี


        ไม่เพียงแต่เด็กมัธยมปลายที่ก้าวเข้ารั้วมหาลัยในฐานะน้องใหม่เฟรชชี่เท่านั้นที่หันมาสนใจเรียนนิติศาสตร์เพิ่มขึ้นแต่นิติศาสตร์ยังกลายเป็นคณะยอดฮิตของคนทำงานที่ต้องการความรู้เพิ่มเติม และมองหาปริญญาใบที่สอง มีหลายจะสถาบันที่เปิดสอนคณะนิติศาสตร์ภาคบัณฑิต ที่ยอดฮิตก็อย่างมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่เปิดรับให้ผู้สำเร็จการศึกษาในสาขาวิชาอื่นมาศึกษาได้โดยมีหลักสูตร สาม ปี


        นิติศาสตร์เป็นศาสตร์ที่เกี่ยวกับกฎเกณฑ์ของสังคมแม้ผู้เรียนอาจจะไม่ได้หวังไกลไปถึงบัลลังค์ผู้พิพากษาแต่ความรู้เกี่ยวกับข้อกฎหมายที่ได้รับจากสาขาวิชานี้ก็สามารถนำไปใช้ได้จริงในชีวิตประจำวันและดูเหมือนว่าชาวนิติศาสตร์ส่วนใหญ่เกือบครึ่งเลือกเรียนในคณะนี้ จะมุ่งเป้าไปที่ตำแหน่งผู้พิพากษาเป็นอันดับหนึ่ง แม้ว่าในแต่ละปีจะมีผู้ผ่านการสอบคัดเลือกและได้รับการบรรจุแต่งตั้งเพียงหลักร้อยเท่านั้น  แต่การคัดเลือกผู้พิพากษา นั้นกลับไม่ใช่การสอบแข่งขัน เอาคะแนนสูงสุดแต่จะเรียกว่าเป็นระบบการสอบแข่งขันกับตัวเองก็คงไม่ผิดนัก คือหากสามารถสอบผ่านเกณฑ์ที่ก.ต.กำหนดไว้ก็สามารถเข้าเป็นผู้ช่วยผู้พิพากษาได้ 


เนติบัณฑิต


        เมื่อได้รับวุฒินิติศาสตร์บัณฑิตแล้ว เส้นทางของการผู้พิพากษาจะว่าใกล้ก็คงไม่ถูกนัก เพราะการจะมีคุณสมบัติครบถ้วนและเป็นผู้มีสิทธิสอบคัดเลือกนั้นยังต้องประกอบด้วย หลักเกณฑ์อีกหลายประการ และด่านทดสอบสำคัญอีกประการหนึ่งคือการต้องผ่านหลักสูตรการอบรมกฎหมายจากเนติบัณฑิตเสียก่อน 
        ไม่ว่าจะจบระดับ นิติศาสตร์บัณฑิตมาจากที่ไหนแต่หากใฝ่ฝันจะนั่งบัลลังค์เป็นผู้พิพากษาแล้วละก็บันไดขั้นต่อมาคือการเข้าศึกษาในเนติบัณฑิต โดยจะรับสมัครผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีในคณะนิติศาสตร์และต้องผ่านการทดสอบความรู้ในกฎหมายอันประกอบด้วย กฎหมายอาญา กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ วิธีพิจารณาความแพ่ง วิธีพิจารณาความอาญา โดยมีหลักสูตรหนึ่งปีแบ่งออกเป็นสองภาคการศึกษา ซึ่งมักจะเรียกกันว่ากฎหมายสี่มุมเมือง หรือที่เรียกกันในอีกชื่อหนึ่งว่ากฎหมายสี่ขา


        การศึกษาในระดับเนติบัณฑิตมีหลักสูตรหนึ่งปีเมื่อสำเร็จการศึกษาแล้วจะได้รับประกาศณียบัตรจากเนติบัณฑิตสภาแม้จะมีหลักสูตรเพียงแค่ปีเดียว แต่ ไม่ใช่เรื่องง่ายเท่าไหร่ในการเรียนจบเพียง 1 ปีตามกำหนดหากมีการเตรียมตัวไม่ดีเพียงพอเพราะเหมือนการสอบที่ต้องประมวลความรู้ระดับปริญญาตรีทั้งหมดมาใช้สอบ 
        แต่ก็ยังมีข้อดีกว่าเมื่อสอบผ่านไหนขาไหนแล้วก็สามารถนำมาเก็บสะสมไว้เพื่อใช้สอบได้ในปีต่อไปจนครบทั้งสี่ขา ก็จะมีสิทธิ์สอบปากเปล่า โดย เป็นการถามตอบ หลักกฎหมาย แบบสัมภาษณ์


เก็บอายุงาน
        คุณสมบัติที่สำคัญอีกประการของผู้มีสิทธิสอบคัดเลือกในตำแหน่งผู้ช่วยผู้พิพากษาคือการเก็บอายุงาน 
สามารถเลือกได้สองทาง ทางแรกคือการต้องมีประสบการณ์ในกาทำงานทางด้านกฎหมายมาไม่น้อยกว่าสอง ปี ในตำแหน่งดังต่อไปนี้


1จ่าศาล,รองจ่าศาล 
2. ข้าราชการ พนักงานเทศบาลหรือลูกจ้างส่วนราชการปฏิบัติงานในหน้าที่นิติกร
3. เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
4. เจ้าพนักงานบังคับคดี
5. พนักงานคุมประพฤติ 
6. อัยการ
7. นายทหารเหล่าพระธรรมนูญ 
8.อาจารย์นิติศาสตร์ในมหาวิทยาลัยของรัฐ
9. พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจ
10.เจ้าหน้าที่สืบสวนสอบสวน ป.ป.ป.
11. ลูกจ้างกระทรวงยุติธรรมทำหน้าที่พนักงานคุมประพฤติ หรือพนักงานบังคับคดี
12. นักวิชาการตรวจเงินแผ่นดิน (ส.ต.ง.)
13.ข้าราชการรัฐสภาสามัญปฏิบัติงานในหน้าที่นิติกร 
14.พนักงานรัฐวิสาหกิจหรือพนักงานในสถาบันการเงินที่ ก.ต.รับรอง
 หรืออีกทางคือการเก็บคดี ในทางนี้อาจจะใช้เวลาที่น้อยกว่าวิธีแรก แต่การที่เป็นทนายเก็บคดีได้นั้น ต้องผ่านการอบรม จากสภาทนายความก่อน ซึ่งมีทั้งการสอบภาคทฤษฎี หากผ่านแล้วก็ตจะได้สอบภาคปฏิบัติ และสอบปากเปล่าเป็นอันดับสุดท้ายเมื่อได้รับใบอนุญาตว่าความหรือที่เรียกว่าตั๋วทนาย ก็สามารถใช้เก็บคดีเพื่อสอบผู้ช่วยผู้พิพากษาในลำดับต่อไปได้


 การสอบคัดเลือกแบ่งเป็นสามสนาม ซึ่งสามรถอธิบายหลักเกณฑ์พอสังเขปได้ดังนี้


                                                      


                                                                                               ที่มารูปภาพ   http://www.vcharkarn.com/uploads/173/174113.jpg


สนามใหญ่ 
        ใช้หลักเกณฑ์ตามมาตรา 26 หรือกล่าวโดยสรุปคือ คือ ต้องจบการศึกษาระดับ นิติศาสตร์บัณฑิต ได้รับประกาศณียบัตรจากเนติบัณฑิตสภา  มีอายุครบ 25 ปีบริบูรณ์  มีอายุงานครบตามข้อกำหนด สนามนี้เป็นช่องทางที่มีผู้สนใจสมัครสอบเป็นจำนวนมาก


สนามเล็ก
        คุณสมบัติโดยทั่วๆไปจะเหมือนกับสนามใหญ่แต่เปิดโอกาสให้ผู้ที่จบการศึกษาในระดับปริญญาโทในคณะนิติศาสตร์สามารถเข้าสอบแข่งขันได้ ซึ่งเน้นในสาขาวิชาเฉพาะด้านซึ่งก.ต. จะผู้เป็นกำหนดกฎระเบียบในการเปิดสอบสนามเล็กออกมาเช่น ต้องมีความรู้ ในเฉพาะด้าน เช่น


- กฎหมายอาญา
- กฎหมายแพ่ง
- กฎหมายลักษณะพยาน กฎหมายล้มละลาย กฎหมายงิธีพิจารณาความอาญา วิธีพิจารณาความแพ่ง
เป็นต้น


การคัดเลือกพิเศษหรือที่เรียกว่า สนามจิ๋ว
        การสอบในลักษณะนี้จะเปิดสอบเมื่อคณะกรรมการตุลาการเห็นสมควร ซึ่งผู้สมัคร ต้องมีความรู้ความสามารถและประสบการณ์ดีเด่นในสาขาวิชากฎหมายที่ ก.ต. กำหนดเท่าที่ผ่านมาๆมักจะกำหนดให้มีวุฒิการศึกษาระดับปริญญา โทจากต่างประเทศ จึงจะมีสิทธิสอบ


        สำหรับเหลักเกณฑ์การคัดเลือกสามารถค้นคว้าเพิ่มเติมได้จาก พรบ มาตรา 26 – 31  ว่าด้วย การสอบคัดเลือก การทดสอบความรู้ และการคัดเลือกพิเศษ และประกาศของก.ต.


        แม้จะมีคุณสมบัติครบถ้วนแล้วแต่อีกสิ่งหนึ่งที่ผู้ต้องการจะก้าวขึ้นสูบัลลังค์ศาลต้องพึงระวังคือการประพฤติปฏิบัติตน เพราะหน้าที่ ที่ต้องค่อยตัดสินผู้อื่นนั้นคงไม่เหมาะแน่หากตนเองก็เคยต้องโทษมาแล้วมีหลายๆกรณีที่เด็กนิติศาสตร์พลาดไปด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ทำให้ประวัติด่างพร้อยและหมดโอกาสสอบไปอย่างน่าเสียดาย


        แม้ภาพสะท้อนของสังคมไทยกับระบบอุปถัมภ์จะมีปรากฏอยู่อย่างดาษดื่นในเกือบทุกแวดวงแต่การสอบคัดเลือกผู้ช่วยผู้พิพากษาก็ยังได้รับการยอมรับว่าเป็นการแข่งขันกับความสามารถของตัวผู้สอบเอง  และมีระเบียบที่รัดกุมมากพอดังนั้นเส้นทางสายนี้จึงเป็นหนทางที่ใฝ่ฝันของหลายๆคนที่อยากจะประกอบอาชีพนี้ ตำแหน่งผู้พิพากษาเป็นอาชีพที่มีเกียรติมีหน้ามีตา แต่สิ่งหนึ่งที่ผู้พิพากษาทุกคนย่อมมีอยู่ในจิตสำนึกและขาดไปเสียไม่ได้คือความยุติธรรมที่ใช้เป็นหลักค้ำยันสังคมเพราะหน้าที่ดังกล่าวย่อมส่งผลกระทบถึงคนส่วนใหญ่ในสังคมและสามรถชี้ผิดชี้ถูกได้

จริยธรรมผู้พิพากษา

จริยธรรมผู้พิพากษา
เ ดิมมีเพียงธรรมเนียมปฏิบัติในการวางตัวของผู้พิพากษาที่ปฏิบัติติดต่อกันมาเท่านั้น สิ่งใดกระทำได้ สิ่งใดกระทำไม่ได้ เป็นธรรมเนียมปฏิบัติต่อๆ กันมา เพราะผู้พิพากษาในประเทศ มีเพียงจำนวนน้อย   ต่อมาจำนวนผู้พิพากษาได้เพิ่มขึ้น ธรรมเนียมปฏิบัติต่างๆ ที่เคยปฏิบัติกันมา บางอย่าง ก็มีการเปลี่ยนแปลง แก้ไข   เพราะการเปลี่ยนแปลง ของสังคมภายนอก ทำให้การปฏิบัติตัว ของผู้พิพากษา บางครั้ง มองดูแล้ว ไม่เหมาะสมบ้าง ที่ประชุมคณะกรรมการ ตุลาการครั้งที่ ๖/๒๕๒๗ เห็นว่า ผู้พิพากษาบางท่าน ประพฤติตนในบางสิ่งบางอย่าง ซึ่งที่ประชุมยังโต้เถียงกันอยู่ว่า การกระทำดังกล่าวนั้น เหมาะสมหรือไม่ เพราะยังไม่มีกฏเกณฑ์วางไว้ เป็นที่แน่นอน ที่ประชุมจึงมีความเห็นว่า น่าจะมีระเบียบ หรือคำแนะนำ หรือมีการวางแนวปฏิบัติไว้ ให้ผู้พิพากษาประพฤติ เพราะแม้จะมีวินัย อยู่ในกฎหมายว่า ด้วยระเบียบ ข้าราชการฝ่ายตุลาการ ก็เป็นเพียงกา รวางหลักเกณฑ์ไว้กว้างๆ บางเรื่องยังคลุมไปไม่ถึง และบางเรื่อง เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ที่ไม่ได้เขียนไว้ จึงตั้งคณะกรรมการ วางหลักเกณฑ์ เรียกว่า ประมวลจริยธรรม ข้าราชการตุลาการขึ้น ซึ่งในด้านจริยธรรม เกี่ยวกับกิจการอื่น และเกี่ยวการดำรงตน และครอบครัวนั้น ได้บัญญัติไว้ทั้งหมด ๑๖ ข้อ ซึ่งจะนำมาให้ดู ดังต่อไปนี้
๑. ผู้พิพากษาจักต้องไม่เป็นกรรมการผู้จัดการ ที่ปรึกษาหรือดำรงตำแหน่งอื่นใด ในห้างหุ้นส่วน บริษัท ห้างร้าน หรือธุรกิจของเอกชน เว้นแต่เป็นกิจกรรม ที่มิได้แสวงหากำไร ผู้พิพากษาจักต้องไม่ประกอบอาชีพ หรือวิชาชีพ หรือกระทำกิจการใด อันจะกระทบกระเทือน ต่อการปฏิบัติหน้าที่ หรือเกียรติศักดิ์ ของผู้พิพากษา
๒. ในกรณีจำเป็นผู้พิพากษาอาจได้รับมอบหมายหรือแต่งตั้งจากหน่วยราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานอื่น ของรัฐ ให้ปฏิบัติ หน้าที่อันเกี่ยวกับหน่วยราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานนั้นได้ ในเมื่อการปฏิบัติ หน้าที่ดังกล่าว ไม่กระทบกระเทือน ต่อการปฏิบัติหน้าที่ หรือเกียรติศักดิ์ ของผู้พิพากษา ทั้งจักต้อง ได้รับอนุญาต จากกระทรวงยุติธรรม แล้ว
การเป็นกรรมการในรัฐวิสาหกิจ หรือกิจการอื่นของรัฐ ในทำนองเดียวกัน จักต้องได้รับอนุมัติจาก ก.ต.ด้วย
ผู้พิพากษา ไม่พึงแสดงปาฐกถา บรรยาย สอน หรือเข้าร่วมสัมมนา อภิปราย หรือแสดงความคิดเห็นใดๆ ต่อสาธารณชน ซึ่งอาจกระทบกระเทือน ต่อการปฏิบัติหน้าที่ หรือเกียรติศักดิ์ ของผู้พิพากษา
๓. ผู้พิพากษาไม่พึงเป็นกรรมการ สมาชิก หรือเจ้าหน้าที่ของสมาคม สโมสร ชมรม หรือ องค์การใดๆ หรือเข้าร่วม ในกิจการใด ๆ อันจะกระทบกระเทือน ต่อการปฏิบัติหน้าที่ หรือ เกียรติศักดิ์ ของผู้พิพากษา
๔. ผู้พิพากษาไม่พึงรับเป็นผู้จัดการมรดก ผู้จัดการทรัพย์สิน หรือผู้ปกครองทรัพย์ เว้นแต่เป็นกรณีที่ ตัวผู้พิพากษาเอง คู่สมรส ผู้บุพการี ผู้สืบสันดานของตน หรือญาติสืบสายโลหิต หรือเกี่ยวพัน ทางแต่งงาน ซึ่งผู้พิพากษา ถือเป็นญาติสนิท มีส่วนได้เสียในมรดก หรือทรัพย์นั้นโดยตรง
๕. ผู้พิพากษาไม่พึงรับเป็นอนุญาโตตุลาการ หรือผู้ประนอมข้อพิพาท
๗. ผู้พิพากษาจักต้องสนับสนุน การปกครองระบอบประชาธิปไตย ตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นพระประมุขแห่งรัฐ
๘. ผู้พิพากษาจักต้องไม่เป็นกรรมการ สมาชิก หรือเจ้าหน้าที่ในพรรคการเมือง หรือกลุ่มการเมือง และจักต้อง ไม่เข้าเป็น ตัวกระทำการ ร่วมกระทำการ สนับสนุน ในการโฆษณา หรือชักชวนใดๆ ในการ เลือกตั้ง สมาชิกรัฐสภา หรือผู้แทน ทางการเมืองอื่นใด ทั้งไม่พึงกระทำใดๆ อันเป็นการฝักฝ่ายการเมือง หรือกลุ่มการเมืองใด นอกจาก การใช้สิทธิ เลือกตั้ง
๙. ผู้พิพากษาจักต้องเคารพและปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด อยู่ในกรอบของศีลธรรม และพึงมีความสันโดษ ครองตน อย่างเรียบง่าย สุภาพ สำรวมกิริยามารยาท มีอัธยาศัย ยึดถือจริยธรรม และประเพณีอันดีงาม ของตุลาการ ทั้งพึงวางตน ให้เป็นที่เชื่อถือ ศรัทธาของบุคคลทั่วไป
๑๐. ผู้พิพากษาพึงปรับปรุงตนเองให้ดีขึ้นเป็นลำดับ และพึงขวนขวายศึกษาเพิ่มเติม ทั้งในวิชาชีพ ตุลาการ และ ความรู้รอบตัว ผู้พิพากษาจักต้อง ไม่ก้าวก่าย หรือแสวงหาประโยชน์ โดยมิชอบ จาการ ปฏิบัติหน้าที่ ของผู้พิพากษาอื่น
๑๑. ผู้พิพากษาจักต้องไม่ยินยอมให้บุคคลในครอบครัว ก้าวก่ายการปฏิบัติหน้าที่ของตน หรือ ของผู้อื่น และจักต้อง ไม่ยินยอมให้ผู้อื่น ใช้ตำแหน่งหน้าที่ของตน แสวงหาประโยชน์ อันมิชอบ
๑๒. ผู้พิพากษาพึงยึดมั่นในระบบคุณธรรม และจักต้องไม่แสวงหาตำแหน่ง ความดีชอบ หรือประโยชน์อื่นใด โดยมิชอบ จากผู้บังคับบัญชา หรือ จากบุคคลอื่นใด
๑๓. ผู้พิพากษาจักต้องระมัดระวังมิให้การประกอบวิชาชีพ หรืออาชีพ หรือการงานอื่นใดของ คู่สมรส ญาติสนิท หรือบุคคล ซึ่งอยู่ในครัวเรือนของตน มีลักษณะเป็นการ กระทบกระเทือน ต่อการปฏิบัติหน้าที่ หรือเกียรติศักดิ์ ของผู้พิพากษา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในด้านความเชื่อถือศรัทธา ของบุคคลทั่วไป ในการประสาทความยุติธรรม ของผู้พิพากษา
๑๔. ผู้พิพากษาและคู่สมรสจักต้องไม่รับทรัพย์สินหรือประโยชน์ใดๆ จากคู่ความ หรือจากบุคคลอื่นใด อันเกี่ยวเนื่อง กับการปฏิบัติหน้าที่ ของผู้พิพากษา และจักต้องดูแลให้บุคคลในครอบครัว ปฏิบัติเช่นเดียวกันด้วย
๑๕. ผู้พิพากษาและคู่สมรสจักต้องไม่รับของขวัญของกำนัล หรือประโยชน์ อื่นใดอันมีมูลค่า เกินกว่า ที่พึงให้กัน ตามอัธยาศัย และประเพณีในสังคม และจักต้องดูแล ให้บุคคลในครอบครัว ปฏิบัติเช่นเดียว กันด้วย
๑๖. ผู้พิพากษาจักต้องละเว้นการคบหาสมาคมกับคู่ความ หรือบุคคลอื่น ซึ่งมีส่วนได้เสีย หรือ ผลประโยชน์ เกี่ยวข้อง กับคดีความหรือบุคคล ซึ่งมีความประพฤติ หรือมีชื่อเสียง ในทางเสื่อมเสีย อันอาจจะกระทบกระเทือน ต่อความเชื่อถือ ศรัทธาของบุคคลทั่วไป ในการประสาท ความยุติธรรม ของผู้พิพากษา ต่อมาได้มีการประกาศใช้ รัฐธรรมนูญ ฉบับปัจจุบัน จึงได้มีการแก้ไข ประมวลจริยธรรม ใหม่ขึ้น ตามประมวลจริยธรรมฉบับใหม่นี้ ท่านประธานศาลฎีกา มีอำนาจ ออกคำแนะนำ ในการดำรงตน ของผู้พิพากษา ซึ่งท่านประธานศาลฎีกา ได้ให้ความกรุณา ออกคำแนะนำ ให้การดำรงตน ของผู้พิพากษาไว้ ซึ่งคำแนะนำดังกล่าวนี้ ผู้เขียนมีความรู้สึก ชื่นชมต่อ ท่านประธานศาลฎีกา เป็นอย่างยิ่ง เพราะมีหลายข้อ ที่ผู้เขียน เคยตะขิดตะขวงใจ หรือลำบากใจ ในการวางตัว และไม่แน่ใจว่า สิ่งดังกล่าวนั้น เหมาะสม และ สมควร ในการดำรงตน ของผู้พิพากษาหรือไม่ เพื่อท่านได้ออกกำหนดมาชัดเจนเช่นนี้ ย่อมเป็นผลดีต่อ ผู้พิพากษา และผลดี ต่อประชาชน และประเทศชาติ เป็นอย่างยิ่ง ดังคำแนะนำขอท่าน ที่นำมาให้ลงไว้นี้

คำแนะนำของประธานศาลฎีกา 
เกี่ยวกับการดำรงตนในโอกาสต่างๆ ของข้าราชการตุลาการ ตามประมวลจริยธรรม ข้าราชการตุลาการ พ.ศ. ๒๕๔๔

เพื่อให้การดำรงตน ในโอกาสต่างๆ ของข้าราชการตุลาการ เป็นไปในแนวทางเดียวกัน จึงเห็นสมควร ให้คำแนะนำ ในโอกาสต่างๆ เป็นไปในแนวทางเดียวกัน ตามประมวลจริย-ธรรมจาก ราชการตุลาการ ไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑. การตรวจราชการ(๑) ผู้ตรวจราชการควรคำนึงถึงความจำเป็น ในการไปตรวจราชการ และระมัดระวังเกี่ยวกับความประหยัด ในการต้อนรับ และระยะเวลา ที่ผู้รับการตรวจ ต้องใช้ในการปฏิบัติ หน้าที่ราชการ
(๒) ผู้ตรวจราชการ ควรจำกัดเฉพาะผู้ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องโดยตรงเท่านั้น และ ให้มีจำนวนน้อยที่สุด
(๓) ผู้ตรวจราชการเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่าย ในการไปตรวจราชการ ตามกฎหมายว่าด้วยค่าใช้จ่าย ในการเดินทางไปราชการ เช่น ค่ายานพาหนะ ค่าที่พักและเบี้ยเลี้ยง เป็นต้น
(๔) ผู้ตรวจราชการควรงดเว้นการรับการอำนวยความสะดวกในทุกด้าน ที่เกินความรับผิดชอบตามปกติ ของผู้รับการตรวจ
(๕) ผู้รับการตรวจพึงอำนวยความสะดวก ตามสมควรแก่ผู้ตรวจราชการ และงดเว้นการยืมยานพาหนะ จากบุคคลภายนอก การเกณฑ์ผู้คน มาให้การต้อนรับ และงดเว้นการจัดหา ของที่ระลึก ของขวัญ หรือ สิ่งของอื่นใด มอบให้แก่ผู้ตรวจราชการ และคณะ
(๖) ผู้รับการตรวจพึงรอต้อนรับผู้ตรวจราชการอยู่ภายในที่ตั้งของตน งดเว้นการไปรอรับจากจังหวัดอื่น หรือตามไปส่งยังจังหวัดอื่น
(๗) การไปสัมมนาของหน่วยงานราชการ ให้ผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบ พึงปฏิบัติ เช่นเดียวกับที่กล่าวมาแล้ว ข้างต้น
ข้อ ๒. การเดินทางไปรับตำแหน่งและการเดินทางไปเพื่อภารกิจส่วนตัว(๑) ผู้เดินทางไปรับตำแหน่งควรคำนึงถึงจำนวนคนที่จะร่วมเดินทางไป พึงงดเว้นการชักชวน หรือยอม ให้บุคคลอื่น ติดตามไปส่ง เป็นจำนวนมาก และไม่ควรให้เป็นภาระ แก่ผู้ให้การต้อนรับ และพึงรับผิดชอบ ค่าใช้จ่าย ในการเดินทาง รวมรวมตลอดทั้งค่าอาหาร และค่าที่พัก ของผู้ร่วมเดินทาง ไปส่งเอง
(๒) ศาลที่ผู้เดินทางไปรับตำแหน่งพึงให้การต้อนรับและอำนวยความสะดวกตามสมควรแก่ผู้เดินทาง มารับตำแหน่ง เช่นจัดให้เข้าที่พัก ของทางราชการ และอำนวยความสะดวก ในสิ่งอื่นที่จำเป็น เพื่อให้ ผู้เดินทาง มารับตำแหน่ง รู้สึกอบอุ่นใจ และเกิดความรู้สึกที่ดี ต่อกันตามสมควร
(๓) การเดินทางไปเพื่อภารกิจส่วนตัว ผู้เดินทางไม่ควรรบกวน ข้าราชการในพื้นที่
ข้อ ๓. การจัดเลี้ยงในโอกาสต่างๆ 
๑ ข้าราชการตุลาการพึงงดเว้นการชักชวนหรือสนับสนุนให้มีการเดินทางไปอวยพร หรือจัดเลี้ยง ในโอกาส ต่างๆ เช่น วันขึ้นปีใหม่ วันสงกรานต์ วันเกิด หรืองานขึ้นบ้านใหม่ เป็นต้น เว้นแต่เป็นการกระทำกัน ภายในหมู่ญาติมิตร หรือเฉพาะ ในหน่วยงานของตนเอง โดยมิได้รบกวน บุคคลภายนอก หรือ ให้บุคคล ภายนอกมาร่วมจัดงาน
(๒) ข้าราชการตุลาการพึงงดรับของขวัญ ของมีค่า ของกำนัลจากผู้ใต้บังคับบัญชา และบุคคลอื่น
(๓) ผู้ใต้บังคับบัญชาพึงงดเว้นการเดินทางไปอวยพร ผู้บังคับบัญชา เว้นแต่เป็นการกระทำกัน ภายใน หน่วยงานนั้นเอง ข้าราชการ ซึ่งอยู่ต่างท้องที่ หรืออยู่ห่างไกล หากประสงค์ จะอวยพร ควรใช้บัตรอวยพร ทางไปรษณีย์แทน
การจะพิจารณาว่า ผู้พิพากษาท่านใด ดำรงตนได้เหมาะเพียงใดหรือไม่ ก็คงจะใช้ประมวลจริยธรรม และ คำแนะนำ ของท่าน ประธานศาลฎีกา ดังกล่าวนี้ เป็นบรรทัดฐาน ได้ในระดับหนึ่ง นอกจากกฎหมาย จารีต ประเพณี และธรรมเนียมปฏิบัติอื่นๆ ที่ได้ปฏิบัติกันมาแล้ว สำหรับหน่วยงาน หรือองค์กรอื่น จะมีประมวล จริยธรรม ของตนเอง หรือมีคำแนะนำ ข้อปฏิบัติ ของหัวหน้า ส่วนราชการอย่างไรนั้น ก็เป็นของ แต่ละหน่วยงาน เห็นเหมาะสม และสมควร ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ ของประชาชน และความน่าเชื่อถือ ของบุคลากร ของหน่วยงานนั้นๆ
(เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๓๘ มกราคม ๒๕๔๕)