กว่าจะมาเป็นผู้พิพากษา
ชีวิตคือการเดินทางที่แสนไกล บางครั้งเมื่อฉันมองย้อนกลับไปก็อดแปลกใจไม่ได้ว่าฉันเดินมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร ชีวิตของฉันเริ่มต้นที่หมู่บ้านเล็กๆบนภูเขาแห่งหนึ่งในจังหวัดทางภาคอีสานตอนบน ตั้งแต่เด็ก ทุกคนมองว่าฉันเป็นเด็กขี้อาย ไม่กล้าสู้หน้าคนแปลกหน้า ติดยาย เวลาไปไหนมาไหน ยายจะตามไปด้วยตลอดเวลา ในช่วงวัยเรียนประถม ฉันชอบอ่านหนังสือมาก ในขณะที่เพื่อนๆ ไปวิ่งเล่นกัน ฉันก็จะอ่านหนังสืออยู่ในห้องสมุดของโรงเรียน โรงเรียนของฉันเป็นโรงเรียนเล็กๆ ในชนบทห่างไกล ไม่ค่อยมีหนังสือให้อ่าน ดังนั้น ฉันจึงอ่านหนังสือในโรงเรียน ทุกเล่ม เล่มละหลายๆรอบ...
เมื่อฉันจบการศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ พ่อแม่บอกว่าไม่มีเงินส่งฉันเรียนในชั้นมัธยมศึกษา ประกอบคนในหมู่บ้านของฉันก็ไม่มีใครเรียนต่อกัน ดังนั้น ฉันจึงต้องหยุดเรียนและออกมาช่วยพ่อแม่ทำไร่ทำนา แต่ด้วยความที่ฉันถูกเลี้ยงมาแบบทะนุถนอม ยายไม่เคยปล่อยให้ฉันทำงานบ้านเอง ฉันจึงโตมาแบบทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง ทำกับข้าวไม่เป็น ทำไร่ทำนาก็ไม่ไหว จนคนรอบข้าง มองฉันแล้วส่ายหน้า พร้อมกับพูดว่า ถ้าฉันไม่มีพ่อแม่ ยาย แล้ว ชีวิตฉันจะอยู่ได้อย่างไร ตอนนั้นฉันอายุสิบเอ็ดขวบ ฉันมีความคิดว่า ฉันไม่ชอบการทำไร่ทำนา เพราะมันเหนื่อย ฉันอยากเรียนหนังสือสูงๆ ทำงานดี ส่งเงินให้พ่อแม่ ฉันจึงขวนขวายที่จะเรียนการศึกษานอกโรงเรียน ฉันจึงขอพ่อไปเรียนการศึกษานอกโรงเรียน พ่อก็อนุญาต แต่แม่มีข้อแม้ว่า ฉันจะไม่ได้ซื้อเสื้อผ้าใหม่ประจำปี ไม่ได้สร้อยคอทองคำใส่ เหมือนกับเพื่อนๆ ในหมู่บ้าน ฉันก็ตกลง
ต่อมาฉันจึงได้ไปเรียนการศึกษานอกโรงเรียน ที่จังหวัดข้างเคียง อยู่ห่างจากหมู่บ้านของฉันประมาณ สามสิบกิโลเมตร ฉันต้องเดินจากหมู่บ้านประมาณสามกิโลเมตร เพื่อขึ้นรถเมล์ไปเรียนทุกวันอาทิตย์ ยาย เป็นห่วงฉันมาก จึงเดินตามมาส่งฉันทุกอาทิตย์ และรอฉันอยู่ที่ปากทางเข้าหมู่บ้านจนกระทั่งฉันกลับมาในตอนเย็น ภาพที่คนแถวนั้นเห็นจนชินตา คือ จะมียายหลานคู่หนึ่ง เดินขึ้นเขาลงเขา ทุกวันอาทิตย์ ตอนเช้า และตอนเย็น ฉันใช้เวลา สองปี จึงเรียนได้วุฒิเทียบเท่า ชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ สาม ขณะนั้น ฉันอายุ สิบห้าปีพอดี ฉันจึงขอพ่อแม่ เข้ากรุงเทพเพื่อหางานทำและหาที่เรียนต่อ พ่ออนุญาต และแม่มีข้อแม้ว่า ฉันต้องส่งเงินให้แม่ทุกเดือน เพราะถ้าฉันไปก็ไม่ใครช่วยพ่อแม่ทำไร่ทำนา หลังจากนั้น ฉันและเพื่อนในหมู่บ้านอีกหลายคนก็ไปหางานที่สำนักจัดหางานประจำอำเภอ ฉันและเพื่อนถูกส่งไปทำงานที่โรงงานปลาทูน่ากระป๋องในจังหวัดนครปฐม ฉันและเพื่อน ทำงานวันแรก ก็คลื่นไส้ เป็นลม เพราะเหม็นปลาทูน่า มีหลายคนที่ทำงานไม่ไหว และลาออกในวันรุ่งขึ้น ส่วนฉันคิดว่าฉันทนได้ เพราะเป้าหมายของฉันคือการได้เรียนต่อ ฉันคิดว่าที่นี่เหมาะกับฉันเพราะ ฉันทำงานเข้ากะกลางคืน ในเวลากลางวันฉันก็จะสามารถไปเรียนต่อได้ตามความฝัน และฉันเห็นพนักงานที่โรงงานนี้ ก็เรียนต่อที่ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนกันหลายคน ฉันประทับใจกับคำพูดของเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคล ที่บอกว่า “อย่าคิดว่างานที่ทำเป็นงานที่ต่ำต้อย งานทุกอย่างมีคุณค่าในตัวเอง” ซึ่งฉันก็เห็นด้วยและคิดว่าฉันได้เรียนรู้อะไรมากมายจากการทำงานนี้ เป็นต้นว่า การฝึกความอดทน ไม่ย่อท้อต่อการทำงานหนัก ซึ่งเป็นพื้นฐานทำให้จิตใจเข้มแข็ง สามารถฝันฝ่าอุปสรรคต่างๆไปได้ ฉัน ทำงานอยู่ได้หนึ่งเดือน ทางโรงงานประสบปัญหาขาดทุนและเลิกจ้างพนักงานใหม่ ฉันจึงต้องออกจากงาน และย้ายไปทำงานโรงงานทอผ้า อีกแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้เคียงกัน ทำงานอยู่ได้หกเดือน ฉันก็ยังมองไม่เห็นหนทางที่จะได้เรียนต่อ ฉันจึงตัดสินใจกลับไปตั้งหลักที่บ้าน อยู่บ้านได้สักพัก ฉันก็ชวนเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ไปหางานที่อำเภอ เราสัญญากันว่า จะไปหางานทำด้วยกันและหาที่เรียนด้วยกัน จากนั้น ฉันและเพื่อนถูกส่งไปทำงานที่โรงงานผลไม้กระป๋อง ทำงานได้สักระยะ เพื่อนของฉันบอกว่า เค้าทนลำบากไม่ไหวแล้ว อยากจะกลับบ้าน ตัวฉันยังไม่อยากกลับบ้าน แต่ไม่มีเพื่อนอยู่ด้วย ฉันก็กลัว จึงต้องตามเพื่อนกลับบ้าน พอกลับไปอยู่บ้านสักพัก ฉันก็หาเพื่อคนใหม่ เพื่อไปหางานทำด้วยกันอีกครั้ง ฉันและเพื่อนอีกสี่คน ไปหางานที่สำนักจัดหางานประจำอำเภอ และถูกส่งกลับไปทำงานที่โรงงานปลากระป๋องในจังหวัดนครปฐม ที่เดียวกับที่ฉันเคยไปครั้งแรก ขณะนั้นกิจการดีขึ้นแล้ว ฉันรู้สึกดีใจมากและคิดว่าคราวนี้คงได้เรียนต่อสมใจซะที หลังจากทำงานได้สักระยะ ฉันก็สมัครเรียนการศึกษานอกโรงเรียนใกล้ๆกับที่ทำงาน แต่แล้วฉันก็ประสบปัญหาเดิมๆ นั่นคือ เพื่อนที่มาจากหมู่บ้านเดียวกัน เค้าอยากจะกลับบ้านอีกแล้ว ฉันจึงตัดสินใจที่จะไม่ตามเพื่อนกลับบ้าน และนั่นเป็นครั้งแรกที่ฉันต้องอยู่ท่ามกลางคนแปลกหน้า โดยไม่มีคนจากหมู่บ้านเดียวกันอยู่ด้วย และแล้วฉันก็ผ่านมันไปได้ ด้วยความเหน็ดเหนื่อย ท้อแท้ สิ่งที่ฉันยังจำได้ติดใจ คือ มีอยู่วันหนึ่ง ฉันเดินเข้าไปขออนุญาตหัวหน้างาน ขอเลิกงาน ห้าโมง เย็นโดยไม่ทำโอทีต่อถึง สองทุ่ม เพราะวันรุ่งขึ้นฉันต้องไปสอบ คำตอบที่ฉันได้รับคือ หน้าตาบึ้งตึงของหัวหน้างานพร้อมกับคำพูดเสียงแข็งว่า ไม่ได้ งานก็คืองาน วันนั้นฉันจึงต้องทำงานถึงสองทุ่ม และไปสอบในตอนเช้า โดยมีเวลาอ่านหนังสือเพียงน้อยนิด แต่ในที่สุด ฉันก็ได้วุฒิ ม. ๖ มาครอบครอง ซึ่งในเวลานั้น ฉันไม่รู้ว่าจะเอาวุฒิ ม. ๖ ไปทำงานอะไร หรือเรียนอะไร มีแต่คนรอบข้างที่บอกฉันว่า ขนาดคนที่เรียนในระบบโรงเรียน ยังตกงาน ยังไม่สามารถเรียนให้จบมหาวิทยาลัยได้เลย แล้วเด็กบ้านนอก จบกศน อย่างฉัน จะไปทำอะไรได้ ตอนนั้น ฉันเหน็ดเหนื่อยทั้งกายและใจ จึงตัดสินใจกลับไปตั้งหลักที่บ้านอีกครั้ง
พอกลับไปบ้านสักพัก ความอยากเรียนต่อของฉันก็เร่งรัดให้ฉันเข้ามากรุงเทพอีกครั้งเพื่อหางานทำและหาที่เรียน คราวนี้ฉันมาทำงานก่อสร้าง พร้อมกับคนในหมู่บ้าน โดยมีแม่ตามมาทำงานด้วย ฉันทำงานก่อสร้างอยู่ได้เจ็ดวัน ก็เหน็ดเหนื่อยมากๆ จึงออกไปสมัครงานโรงงานอีกครั้ง และได้ทำงานโรงงานทำชิ้นส่วนอิเล็กทรอนนิกส์แห่งหนึ่ง ในจังหวัดสมุทรปราการ เมื่อได้งานแล้วฉันก็ส่งแม่กลับบ้านนอก ฉันชอบที่นี่มาก งานสบาย สวัสดิการดี กว่าโรงงานที่ฉันเคยทำเยอะ ฉัน ตั้งใจว่า จะสมัครเรียนรามคณะรัฐศาสตร์ เพราะมีคนบอกว่า จบ กศน. อย่างฉัน เรียนได้แค่รัฐศาสตร์รามเท่านั้น ฉันทำงานที่นี่ได้สี่เดือน และกำลังจะสมัครเรียนราม แต่อนิจจา โรงงานที่ฉันทำงานอยู่ มีนโยบายไม่รับพนักงานประจำ คือจะจ้างพนักงานแค่สี่เดือนแล้วเลิกจ้าง จากนั้นก็รับสมัครพนักงานใหม่ ฉันจึงถูกเลิกจ้างด้วยประการฉะนี้ เมื่อตกงาน ฉันจึงต้องพักเรื่องการมัครเรียนต่อไว้ก่อน ต่อมาฉันได้งานใหม่ ที่โรงงานทำเครื่องแฟกซ์ แถว อำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา ที่นี่ เงินเดือนไม่ได้เท่าที่เดิม แต่ก็วันหยุดเยอะดี ต่อมาฉันก็วางแผนจะสมัครเรียนรามอีกครั้ง ตอนนั้นฉันคิดว่า ฉันคงเรียนสาขารัฐศาสตร์ไม่ได้ เพราะ วิชาพื้นฐานเยอะมาก และฉันไม่ได้เรียนมัธยมในระบบโรงเรียน คงตามเพื่อนไม่ทัน ส่วนคณะนิติศาสตร์ วิชาพื้นฐานน้อยดี วิชาหลักก็ไม่มีสอนในชั้นมัธยม มาเริ่มต้นพร้อมกัน ฉันคงพอเรียนได้
เทอมแรก ฉันเลือกลงทะเบียนเรียนวิชาที่สอบเสาร์อาทิตย์ เพื่อจะได้ไม่ต้องลางาน ผลสอบในเทอมหนึ่งเป็นที่น่าพอใจ เทอมต่อมา วิชาที่เรียนเริ่มยากและเยอะขึ้น ฉันจึงมีความคิดว่าฉันควรย้ายไปทำงานโรงงานที่มี สามกะ จะได้ไม่ต้องลางาน ฉันจึงย้ายมาทำงานที่โรงงานประกอบชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ซึ่งอยู่ใกล้เคียงกัน นับเป็นโชคดีของฉัน ที่วันสอบของวิชาที่ฉันจะลงทะเบียนเรียนตรงกับช่วงที่ฉันเข้ากะดึกพอดี ฉันลงทะเบียนเรียนสองวิชาที่สอบวันเดียวกันเพื่อให้พอดีกับวันที่เข้ากะดึก ผลคือ ตอนเช้าสอบรามหนึ่ง ตอนบ่ายสอบรามสอง ตอนดึก ก็ไปทำงาน ขณะนั้นฉันมีแต่ความมุ่งมั่นที่จะอ่านหนังสือ สอบ และทำงานโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แต่พอสอบเสร็จ ฉันรู้สึกเหน็ดเหนื่อยเป็นอย่างมาก หมดแรง ใจสั่น กินข้าวไม่ได้ น้ำหนักลด ฉันได้เรียนรู้ว่านี่คือผลของการใช้งานร่างกายหนักเกินสมควร แม้ใจเราสู้ แต่ถ้าเกินกำลังร่างกายรับไม่ไหว หลังสอบเทอมเสร็จ ฉันเหน็ดเหนื่อย เมื่อยล้าจนต้องลาออกจากงานกลับไปพักผ่อนที่บ้านนอก ฉันกลับมากรุงเทพอีกครั้ง ช่วงเปิดเทอม และได้งานที่ร้านเซ่เว่น สาขาซอยมหาดไทย และหาเวลาไปเรียนในช่วงเข้ากะดึกและกะบ่าย เป็นครั้งแรกที่ฉันมีโอกาสได้ฟังคำบรรยายที่มีอาจารย์สอนแทนการอ่านหนังสือ ในขณะที่คนอื่นคิดว่าการนั่งเรียนเป็นเร่ืองน่าเบื่อ อ่านหนังสืออย่างเดียวดีกว่าเร็วดี แต่สำหรับฉันแล้วรู้สึกว่าเป็นเร่ืองโชคดีมากที่มีโอกาสได้รับทั้งความรู้และประสบการณ์โดยตรงจากผู้สอน บางครั้งอาจารย์ไม่ได้ถ่ายทอดเฉพาะความรู้เท่านั้น แต่ยังถ่ายทอดประสบการณ์ดีๆที่ท่านเคยประสบการณ์ มาให้เราด้วย ดังนั้น ฉันจึงตั้งใจเรียน เกี่ยวทั้งความรู้และประสบการณ์ที่มีคุณค่าของท่าอาจารย์ มาปรับใช้ในการเรียนและการดำเนินชีวิตประจำวัน ตั้งแต่เล็กจนโตใครๆก็บอกว่าฉันเงียบมาก มีแต่คนถามฉันว่าทำไมไม่พูดอะไรซะบ้าง เวลาไปไหนจะมีคนเป็นห่วงฉันมาก พวกเขากลัวฉันจะถูกหลอก พอมีคนบอกแบบนี้บ่อยๆฉันก็เริ่มไม่มั่นใจในตัวเอง อยากเป็นคนพูดเก่งกะเขาบ้าง และนี่คือสาเหตุหลักที่ทำให้ฉันไปสมัครอบรมการพูดที่ ศูนย์พัฒนาการพูดรามคำแหง ที่นี่ฉันมีเพื่อนมากมายและไม่อยากจะทำงานอีกต่อไป ประกอบกับช่วงนั้นมีโครงการกู้ยืมเงินเพื่อการศึกษา ฉันจึงตัดสินใจ ลาออกจากงานและกู้เงินเรียน หลังจบการอบรม ฉันยังเป็นสมาชิกของศูนย์แห่งนี้ และได้มีโอกาสจัดเตรียมการอบรมการพูดในรุ่นต่อๆมา ฉันมีโอกาสได้ทำหน้าที่ต่างๆในการจัดเตรียมงานอบรมในหลายครั้ง เช่น เป็นพิธีกรดำเนินรายการ เป็นฝ่ายจัดหางบประมาณ
สิ่งหนึ่งที่ฉันได้เรียนรู้จากที่นี่คือ “พูดดี” กับ “พูดมาก” เป็นคนละเรื่องกัน คนที่พูดจาคมคาย ฉลาดเฉียบแหลมไม่จำเป็นต้องพูดมากเสมอไป และนั่นทำให้ฉันมั่นใจกับการเป็นคนพูดน้อยของตัวเองมากขึ้น ฉันได้รับความรู้ ประสบการณ์และเพื่อน จากที่นี่มากมาย ทำให้ฉันเป็นคนกล้าแสดงออกมากขึ้นรู้จักการทำงานร่วมกับคนอื่น ซึ่งฉันสามารถนำไปปรับใช้กับชีวิตประจำวันได้จนถึงทุกวันนี้ ฉันใช้เวลาสามปีก็จบการศึกษาในระดับปริญญาตรี ในรุ่น ๒๕ ฉันเคว้งคว้างอยู่สักพัก หางานทำไม่ได้ ฉันไม่ค่อยชินกับการเรียนอย่างเดียวโดยไม่ได้ทำงาน ฉันสัญญากับตัวเองว่าถ้าหางานทำได้แล้วฉันจะตั้งใจทำงานอย่างดีที่สุด นับว่าเป็นโชคดีของฉันที่ยังกู้เงินจากกองทุนกู้ยืมฯได้เพราะเป็นช่วงเวลาที่คาบเกี่ยวกัน นั่นทำให้ฉันไม่ต้องขวนขวายหางานมากนัก การเรียนที่เนติฯ ฉันเข้าฟังคำบรรยาย ทั้ง ภาคปกติ ภาคค่ำ ภาคทบทวน ก่อนเข้าเรียนฉันจะไปนั่งอ่านคำบรรยายของปีก่อนๆ และหนังสือที่ห้องสมุด สำหรับฉันแล้วหนังสือที่ห้องสมุดเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามาก เพราะหนังสือหลายเล่มเขียนโดยอาจารย์ผู้ทรงความรู้และไม่มีขายในท้องตลาดแล้ว นับว่าเป็นโชคดีของฉันที่ไม่มีเงินซื้อหนังสือข้างนอกมาอ่าน จนต้องใช้วิธียืมหนังสือจากห้องสมุดมาอ่าน เมื่อยืมมาแล้วก็ต้องอ่านให้จบ ทำโน๊ตย่อไว้เพื่อทบทวนเพราะไม่ใช่หนังสือของเรา ตลอดเวลาสามปีที่รามและหนึ่งปีที่เนติ ฉันอ่านหนังสือในห้องสมุดแทบทุกเล่ม ตอนนั้นฉันสงสารตัวเองมากที่ไม่มีเงินซื้อหนังสือมาอ่าน แต่พอมองย้อนกลับไป พบว่า นั่นคือโชคดีมหาศาล ที่ทำให้ฉันมีความตั้งใจ อ่านหนังสือให้ได้เยอะ ๆเร็วๆ ฉับพบว่า หลังจากที่ฉันมีเงินซื้อหนังสือแล้ว ความขยันอ่านหนังสือหายไปเพราะคิดว่า หนังสือเป็นของเรา จะอ่านเมื่อไหร่ก็ได้ สุดท้าย ฉันมีหนังสือเต็มห้องแต่ยังอ่านไม่ครบทุกเล่ม
ในการฟังคำบรรยาย หรืออ่านหนังสือแต่ละครั้งฉันจะทำโน๊ตย่อ ไปด้วย (ฉันไม่เคยกลับไปอ่านโน๊ตย่อของตัวเองหรอกแต่คิดว่านี่คือวิธีการหนึ่งที่ทำให้ฉันมีสมาธิจดจ่ออยู่กับการฟังหรือการอ่านได้) และจดเลขฏีกาที่น่าสนใจไว้ และไปค้นฎีกาย่อยาวที่ที่ห้องสมุดแล้วนำมาถ่ายเอกสารเก็บไว้เป็นหมวดหมู่ หลายครั้งที่ฉันอ่านฎีกาย่อ หรือฟังอาจารย์พูดแล้วไม่เข้าใจ ฉันก็จะไปหาฎีกาย่อยาวมาอ่าน ฉันชอบอ่านฏีกาที่มีหมายเหตุท้ายฎีกาที่อธิบายหลักกฎหมายนอกเหนือไปจากประเด็นที่ฎีกานั้นตัดสิน ทำให้ฉันมองเห็นภาพกว้างของหลักกฎหมายเหล่านั้น นอกจากนี้ฉันยังชอบเดินไปที่ร้านถ่ายเอกสารที่หน้าห้องบรรยายชั้นสี่ ที่นี่จะมีชีทมากมายทั้งของอาจารย์และเพื่อนนักศึกษาผู้มากด้วยน้ำใจ บางครั้งการอ่านในหนังสือให้ความรู้สึกหนักๆ พอมาอ่านข้อมูลในชีทรู้สึกว่าเข้าใจง่ายกว่า (คิดไปเองหรือเปล่าไม่รู้นะ) อ่านไปก็รู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจของผู้จัดทำเป็นอย่างมาก ฉันใช้เวลาเรียนหนึ่งปีก็จบเนติฯในสมัยที่ ๕๒
ต่อมา ฉัน สอบเข้าบรรจุเป็นข้าราชการที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ปีแรกที่ทำงานที่นี่ฉันมีความสุขมากๆ ฉันประทับใจกับการอบรมพนักงานใหม่ซึ่งให้ข้อคิดกับฉันว่า อะไรก็ตามถ้าเราทำถูกวิธีมันจะไม่เหนื่อย และประสบความสำเร็จได้ง่าย ถ้าเราทำอะไรแล้วเหนื่อยและไม่ได้ผล แสดงว่าเราทำผิดวิธีเราต้องหาวิธีการใหม่ ฉันก็ได้ใช้หลักการข้อนี้ มาปรับใช้กับการเตรียมตัวสอบผู้พิพากษา เพื่อนๆที่บรรจุพร้อมกันบอกว่างานที่นี่เหนื่อย หนัก เครียด แต่ในความรู้สึกของฉันคือ สบายกว่างานโรงงานที่ฉันทำตั้งเยอะ
นอกจากนี้ฉันยังประทับใจกับการได้ไปปฏิบัติธรรมเป็นเวลา ๗ วัน การอบรมครั้งนั้นทำให้มุมมองเกี่ยวกับการศาสนาของฉันแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าศาสนาพุทธ จะสอนมีเหตุมีผลขนาดนี้ ตอนนั้นฉันไม่ค่อยเข้าใจธรรมะมากมายหรอก รู้แค่ว่า ถ้าฉันได้ปฏิบัติธรรมบ่อยๆจะทำให้จิตใส สงบ ผ่องใส เยือกเย็น มีความจำดี ช่วยให้การศึกษาเล่าเรียนดี มีสติปัญญาเฉียบแหลม เป็นเรื่องจริงนะที่เค้าบอกว่า ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน เมื่อ ใจมันอยากไป แม้จะภาระมากมายแค่ไหน ในที่สุดฉันก็หาเวลาและสถานที่ไปปฏิบัติธรรมแทบทุกเดือนจนได้ สามวันบ้าง ห้าวันบ้าง แล้วแต่โอกาสจะอำนวย จะว่าไปแล้วฉันเตรียมตัวสอบผู้ช่วยผู้พิพากษามาตั้งแต่สมัยเรียนปริญญาตรี การลงทะเบียนเรียนแต่ละวิชาถ้าเลือกได้ฉันจะเลือกวิชาที่มีในการสอบผู้พิพากษา ตอนเรียนเนติฯ ฉันเข้าเรียนทั้งภาคปกติ ภาคค่ำ ภาคทบทวน เพื่อจะเก็บเกี่ยวความรู้ให้ได้มากที่สุด หลังจบเนติฯแล้ว เมื่อมีเวลาว่างฉันจะไปฟังคำบรรยายภาคทบทวน วันอาทิตย์ที่เนติฯ ฝากเพื่อนอัดเทปคำบรรยายภาคปกติให้ (สมัยก่อนไม่มีคำบรรยายให้ดาวน์โหลดทางเน็ต หนังสือรวมคำบรรยายเนติ สมัยที่เรียนจบนั้น ฉันได้นำมาแยกรายวิชา และรวมเล่มเพื่อความสะดวกในการอ่าน และสั่งจองคำบรรยายของปีต่อๆมาทุกปี จนกระทั่งสอบได้ สั่งจองคำพิพากษาฎีกาของส่งเสริมฯ (สำนักงานศาลยุติธรรม) ทุกปี จนกระทั่งสอบได้ ไปเนติฯเป็นประจำเท่าที่โอกาสอำนวย เพื่อไปดูหนังสือใหม่ๆที่ร้านหนังสือ และชีทใหม่ๆที่ร้านถ่ายเอกสารชั้นสี่ ตอนที่ยังอายุไม่ครบที่จะสอบ ฉันมัวแต่สนุกกับงาน สนุกเพื่อนใหม่ สถานที่แปลกใหม่ และคิดว่าอายุไม่ครบก็ยังไม่ต้องเตรียมตัวอะไรมากมาย ดังนั้นแต่ละอาทิตย์ ฉันจึงเพียงแต่อ่านคำบรรยายเนติฯ และฎีกา ที่ส่งมาให้อาทิตย์ละเล่มเท่านั้น นอกนั้น จะชอบอ่านนิยายและหนังสือธรรมะมากกว่า นับว่าเป็นข้อผิดพลาดและเป็นความประมาทของฉัน พอฉันมีคุณสมบัติครบที่จะสอบผู้พิพากษาได้ และเริ่มเตรียมตัวอย่างจริงจังก็รู้สึกเสียดายเวลาที่ผ่านมา คิดว่าเราน่าจะเตรียมตัวให้มากๆ ก่อนหน้านี้ตั้งนานแล้ว
พอมีการประกาศรับสมัครสอบผู้ช่วย ฉันเริ่มจัดตารางเวลาใหม่ เริ่มจาก ตื่นตีสี่ มานั่งสมาธิ สวดมนต์ ออกกำลังกายโดยการเล่นโยคะ ไปทำงานตอนหกโมงเช้า ถึงที่ทำงานเจ็ดโมง เข้าห้องสมุด ถึงแปดโมงครึ่ง ก็กลับเข้าห้องทำงาน และเลิกงานสี่โมงหก ตอนเย็นเริ่มอ่านหนังสือประมาณหกโมงเย็นถึงสี่ทุ่ม (ช่วงนั้นไม่เปิดทีวี และโชคดีที่ตอนนั้นไม่มีเฟสบุค) ก่อนหน้านี้ก็นอนดึกกว่านี้นะแต่ช่วงอ่านหนังสือ สี่ทุ่มก็ง่วงละ ไม่รู้ทำไม เสาร์อาทิตย์ก็ไม่ค่อยได้อ่านหนังสือนะ ธุระเยอะแยะมากมายไปหมด แต่ก็พยายามไปเรียนทบทวน วันอาทิตย์ที่เนติฯ อัดเทปมาฟังระหว่างซักผ้า กินข้าว หรือช่วงที่อ่านหนังสือแล้วง่วงก็เปลี่ยนมาฟังคำบรรยายแทน เวลาอ่านหนังสือฉันต้องทำโน๊ตย่อไปด้วย เพื่อดึงสมาธิให้มาจดจ่ออยู่กับหนังสือ หรือบางทีก็อ่านออกเสียง อัดเทปไว้(ไม่ได้เอากลับมาเปิดฟังหรอกแค่ทำแก้ง่วงนะ) ช่วงไหนขี้เกียจเขียนก็อ่านอย่างเดียว สลับกับเอาข้อสอบเก่ามาทำ ถ้าให้ฉันนั่งอ่านหนังสือเล่มเดียวเป็นเวลาหลายชั่วโมง ทำไม่ได้จริง ๆ ขนาดกินกาแฟ ผ่านไปห้านาทีก็ง่วงแล้ว สิ่งที่อยากจะบอกก็คือ การเรียนรู้ไม่มีรูปแบบหรอก จะทำวิธีไหนก็ได้ขอให้เขียนตอบข้อสอบให้ได้คะแนนดีละกัน ลองสังเกตตัวเองว่าเรามีความสุขกับการทำอะไร สิ่งนั้นคือสิ่งที่เราชอบเราจะทำได้ดี
ฉันเป็นคนโชคดีอยู่อย่างคือจะอ่านหนังสือได้เร็วและสายตาปกติ คงเป็นผลจากการรักการอ่านมาตั้งแต่เด็กจึงทำให้เข้าใจสิ่งที่อ่านได้ง่ายๆ หรืออาจเป็นไปได้ว่าสิ่งที่อ่านนั้น ฉันเคยเรียนมาแล้วและทบทวนอยู่เรื่อยๆ แม้จะไม่ค่อยจริงจัง แต่ก็เป็นสิ่งที่เคยผ่านตามาบ้างแล้วจึงทำให้การอ่านหนังสือเป็นไปโดยไม่ลำบากมากนัก ดังนั้น แม้จะใช้เวลาในการอ่านไม่มาก ก็ได้ความรู้เยอะพอสมควร แต่ก็ยังไม่พอที่จะสอบผ่านในครั้งแรก สมัยเรียนเนติ เคยเอาหนังสือมากองรวมกัน อ่านและโยนไว้อีกกองหนึ่ง พอสอบผู้ช่วยหยิบเล่มไหนก็โยนไม่ได้ เพราะยังไม่เข้าใจเลย คงเป็นเพราะเนื้อหาที่นำมาออกข้อสอบผู้ช่วยมีเยอะมาก และข้อสอบก็ยากพอสมควร อีกทั้งมีแรงกดดันจากคนรอบข้างที่คาดหวังว่าฉันจะสอบได้อย่างแน่นอน ด้วยความตื่นเต้น ความรู้ไม่แน่น ฉันจึงสอบตกในครั้งแรกด้วยประการฉะนี้
ฉันรู้อยู่แล้วตั้งแต่วันที่ออกจากห้องสอบว่าจะสอบไม่ผ่าน ช่วงสอบเสร็จใหม่ๆฉันอ่านหนังสือกฎหมายไม่ได้เลย เห็นประเด็นที่เคยออกข้อสอบแล้วปวดใจ ไปเปิดหนังสือ เห็นเราเคยทำเครื่องหมายไว้ ขีดเส้นใต้ไว้ เขียนไว้ว่าน่าออกข้อสอบ แต่ทำไมตอนอยู่ในห้องสอบนึกไม่ออกเลย เลยเปลี่ยนมาอ่านหนังสือธรรมะแทน มีเวลาว่างก็ไปปฏิบัติธรรม แต่ตอนนั้นก็ยังหวังปาฎิหารย์อยู่ลึกๆ เมื่อประกาศผลสอบก็รู้ว่าปาฏิหารย์ไม่มีจริง แม้จะทำใจไว้แล้วก็อดเสียใจไม่ได้ ใครๆปลอบยังไงก็ไม่หาย จนมีเพื่อนคนหนึ่งพูดว่า “ สอบตกซะบ้างก็ดี จะได้รู้ความรู้สึกของคนสอบไม่ผ่านบ้างว่าเป็นไง” คำพูดนั้น ทำให้ฉันได้สติ ระลึกขึ้นมาได้ว่าที่ผ่านมายังไม่เคยสอบตกเลย เวลาเห็นคนอื่นสอบตกเราไม่เห็นรู้สึกอะไรเลย พอเจอกับตัวเอง มันเจ็บลึกจริงๆ นะ มาคิดอีกที สอบตกก็ดีนะ เราจะได้เข้าใจความรู้สึกของคนอื่นบ้าง นับว่าเป็นความโชคดีของฉันที่มีการเปิดสอบสนามใหญ่ติดกัน ทำให้ฉันไม่มีเวลาเสียใจนานนัก เมื่อประกาศสอบอีกครั้ง ทำให้กำลังใจของฉันกลับมาด้วยหวังว่าจะมีโอกาสอีกครั้ง ฉันเริ่มต้นสำรวจข้อบกพร่องที่พบในการสอบคราวก่อน เป็นต้นว่า ก่อนเข้าห้องสอบฉันเจอเพื่อนและคุยกับเพื่อน ทำให้จิตฟุ้งซ่าน ไม่เป็นสมาธิ ฉันตั้งใจว่า สอบคราวนี้ จะไม่ไปยืนรอหน้าห้องสอบ ก่อนเข้าสอบจะไม่คุยกับใคร สอบคราวก่อน ฉันมัวแต่สืบว่ามีคนเก็งข้อสอบอะไรกันบ้าง และท่องฎีกาเก็งไป พออยู่ในห้องสอบเมื่อเจอข้อสอบ ฉันก็บอกตัวเองว่านี่แหละฎีกาเก็ง ซึ่งความจริงแล้ว เป็นคนละเรื่องเลย แต่เป็นเพราะใจเราไม่ว่าง มีสิ่งต่างๆอยู่ในหัว จึงทำให้มองไม่เห็นความจริงตรงตามความเป็นจริง ฉันตั้งใจว่าคราวนี้ จะไม่เก็งฎีกาอะไรทั้งสิ้น จะอ่านหนังสือ มีสติอยู่กับปัจจุบัน ทำความเข้าใจไปเรื่อยๆ ได้แค่ไหนแค่นั้น สอบคราวก่อนฉันเขียนไม่ทัน ฉันก็จะฝึกเขียนให้มากๆ ฉันทำคะแนน แพ่งอาญาได้น้อย ก็เน้นอ่านแพ่งอาญาให้มากขึ้น บางครั้งเมื่อฉันเห็นคนที่อ่านหนังสือสอบอย่างเดียวฉันก็นึกอิจฉาอยากเป็นแบบนั้นบ้างแต่ทำไม่ได้เพราะมีภาระครอบครัวมากมาย มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ฉันลาพักผ่อนและไปนั่งอ่านหนังสือสามวันเต็ม ทั้งวันโดยไม่พัก ฉันอ่านจูริส จบไปสองสามเล่ม และฉันรู้สึกว่าความรู้เต็มหัวจนหนักอึ้งดพราะสมองซึมซับไม่ทัน ฉันเห็นหนังสือแล้วรู้สึกเวียนหัว อ่านหนังสือไม่ได้ไปอีกสองอาทิตย์ เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ฉันเรียนรู้ว่า การศึกษาหาความรู้ ไม่ใช่การนำข้อมูลจำนวนมหาศาลมายัดใส่สมองภายในครั้งเดียว ยิ่งมากเท่าไหร่ยิ่งดี แต่เป็นการค่อยซึมซับความรู้ทีละน้อยและฝึกฝนจนเชี่ยวชาญ จุดสำคัญอยู่ที่ความต่อเนื่อง ถ้าเราอ่านหนังสือแค่วันละสองชั่วโมงแต่สามารถจดจำและนำไปปรับใช้ได้ มันจะเป็นความเข้าใจที่นานเท่าไหร่ก็จะไม่ลืม ถ้าเราทำได้ต่อเน่ืองทุกวัน ความรู้ที่มีจะค่อยๆเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ โดยที่เราไม่ต้องเหนี่อยฟรี นับแต่นั้นฉันจึงคิด เป็นความโชคดีของฉันที่ได้ ทำงานและเรียนด้วยมาโดยตลอด มันทำให้ฉันมีทั้งความรู้และประสบการณ์ที่นำมาใช้ด้วยกันได้อย่างลงตัว ในการสอบครั้งที่สองฉันมีสติมากกว่าการสอบครั้งแรก แก้ไขข้อบกพร่องได้บางส่วน ทำข้อสอบได้ครบทุกข้อ หลังสอบเสร็จ รู้สึกว่าทำได้มากกว่าครั้งแรกแต่ก็ไม่อยากคาดหวังอะไร มากมาย เมื่อประกาศผลสอบแนสอบผ่านด้วยคะแนนที่เฉียดฉิว
นับจากวันที่ฉันสอบผ่านได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยผู้พิพากษา จนถึงวันนี้ เป็นเวลาแปดปีเศษ หลายครั้งที่มองย้อนกลับไปแล้วรู้สึกว่า แทบไม่น่าเชื่อว่าเด็กบนดอยคนหนึ่งจะมายืนจุดนี้ได้ สิ่งหนึ่งที่ทำให้ฉันมีวันนี้ได้ คือความรักแบบไม่มีเงื่อนไขของคนในครอบครัวไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ ยาย น้องสาว แม้พวกเค้าจะไม่เข้าใจว่าฉันจะเรียนไปทำไมเยอะแยะมากมาย รู้แต่ว่าฉันอยากเรียนก็สนับสนุนทุกทางเท่าที่จะทำได้ ในขณะที่คนในหมู่บ้านมีแนวคิดว่าการเรียนหนังสือไม่มีประโยชน์เสียเวลาทำมาหากินและมีตัวอย่างของคนในหมู่บ้านที่ไปเรียนจบมาแล้วก็แต่งงานเลี้ยงลูกโดยไม่ได้ประกอบอาชีพตามที่เรียนมาเลย ดังนั้น พวกเค้าจึงไม่คิดที่จะส่งลูกหลานเรียนต่อ ส่วนพ่อของฉันอยากให้ฉันเรียนอยู่แล้วแต่ไม่มีเงินส่งเรียน เมื่อฉันขอไปเรียน กศน. พ่อก็อนุญาต ส่วนแม่และยายแม้จะไม่เห็นด้วยแต่ก็ไม่เคยห้าม มีแต่ช่วยสนับสนุนทุกทาง ยายมารับส่งทุกครั้งที่ไปเรียน ตอนที่ฉันเข้ามาทำงานกรุงเทพ แม่และยายก็ยอมแม้ว่าจะคิดถึงและเป็นห่วงฉันมากแค่ไหน คนข้างบ้านบอกว่าแม่ฉันจิตใจเข้มแข็งมากๆ ที่ยอมให้ลูก อายุไม่ถึงยี่สิบปีมาอยู่กรุงเทพเพียงลำพัง ฉันคิดว่าที่แม่ยอมเพราะแม่เชื่อว่าฉันดูแลตัวเองได้ดี และฉันสัญญากับตัวเองว่าจะไม่ทำให้ครอบครัวผิดหวัง ส่วนน้องสาวคนเดียวของฉัน ฉันรักเค้ามาก และเค้าก็รักฉันมากเช่นเดียวกัน ในขณะทำงานฉันส่งเงินกลับบ้านเพื่อให้น้องสาวได้เรียนต่อ ซึ่งเค้าก็ไม่เคยทำให้ฉันผิดหวัง เค้าเรียนดี ตั้งใจเรียน มาโดยตลอด โดยที่ฉันไม่ต้องแนะนำสั่งสอน น้องเดินมาในทางเดียวกันกับที่ฉันเดิน ฉันดีใจที่สามารถเป็นแบบอย่างที่ดีให้น้องได้ บางทีฉันก็รู้สึกว่าน้องสาวของฉันอาจจะรู้สึกกดดัน ที่ใครก็ชื่นชมฉันและคาดหวังว่าน้องจะทำได้เหมือนฉัน ฉันอยากจะบอกน้องสาวว่าถึงแม้วันนี้น้องจะทำไม่ได้เท่าพี่ เพราะมีเหตุปัจจัยที่ต่างกัน ฉัน ก็รักและภูมิใจในตัวเค้ามากและดีใจที่ได้เกิดมาเป็นพี่น้องกัน อะไรที่พี่จะช่วยให้น้องประสบความสำเร็จได้พี่ก็พร้อมจะทำ อย่างเช่น การเปิดเพจธรรมมะกับกฎหมาย เพื่อแนะนำการเรียนกฎหมาย พี่เขียนเพจนี้ขึ้นมาก็เพราะคิดว่าเพจนี้จะเป็นประโยชน์กับน้องของพี่และคนอื่นๆ
........เมื่อก่อนฉันเคยคิดว่าฉันมาจากครอบครัวที่ยากจน แต่วันนี้ฉันรู้แล้วว่าครอบครัวของฉันเป็นครอบครัวที่อบอุ่น สมบูรณ์ที่สุด ตั้งแต่เล็กจนโตฉันไม่เคยเห็นพ่อแม่ทะเลาะกันเลย เงินทุกบาทที่หามาได้ พ่อจะให้แม่เก็บทั้งหมด หากพ่อเอาเงินไปใช้ พ่อจะกลับมาบอกแม่ว่าใช้อะไรไปบ้าง ที่เหลือจะคืนแม่ทั้งหมด พ่อไม่เคยซื้อเสื้อผ้าใส่เอง แม่ซื้อเสื้อผ้าแบบไหนให้ก็ใส่แบบนั้นโดยไม่พูดอะไรสักคำ พ่อแม่ทำงานหนักเพื่อมาเลี้ยงดูครอบครัว ยายเลี้ยงดูฉันอย่างดี ตอนเด็กฉันไม่เคยถูกตีเพราะมียายคอยปกป้องอยู่เสมอ ญาติพี่น้องทุกคนรักกันและคอยช่วยเหลือกันอยู่เสมอ สิ่งเหล่านี้ทำให้ฉันเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังและความรักในหัวใจ ที่พร้อมจะเดินตามความฝันของตัวเอง และแบ่งปันความรักให้แก่คนรอบข้าง ทำให้ฉันเรียนรู้ว่าสิ่งที่ดีที่สุดที่เราจะให้แก่คนที่เรารักได้คือ การให้เค้าได้เป็นตัวเอง ได้ทำในส่ิงที่รักและอยากมีความสุขที่จะทำ และนี่คือสิ่งที่ฉันได้จากครอบครัวของฉัน
...........สิ่งสำคัญอีกอย่างที่ทำให้ฉันเดินมาถึงตรงนี้ได้ นั้น คือ ฉันมีเป้าหมายชัดเจน และหาวิธีการเดินไปสู่จุดหมายนั้น ฉันไม่เคยยอมแพ้ ทุกครั้งที่ทุกอย่างไม่เป็นไปดังหวัง ฉันก็จะบอกกับตัวเองว่า มันต้องมีวิธีการอื่นที่ให้เราเดินไปสู่ความสำเร็จได้ ทุกเรื่องราวในชีวิตที่ผ่านมาไม่ว่าดีหรือร้ายก็สามารถเป็นครูสอนเราได้ สิ่งที่ดีเราก็ดูไว้เป็นตัวอย่างที่ควรทำตาม สิ่งที่ไม่ดีเราก็ดูไว้เป็นตัวอย่างที่ไม่ควรทำตาม คนเราเกิดมาเพื่อเรียนรู้และเติบโตขึ้น คนเราไม่รู้หรอกว่า ทำกรรมอะไรไว้จึงได้ตัวตนแบบที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ แต่ถึงวันนี้ วันที่เรายังมีลมหายใจอยู่กับปัจจุบันขณะ เราสามารถเลือกได้ว่าจะเดินไปตามเส้นทางที่กรรมเก่าขีดเส้นไว้ หรือเลือกที่จะสำรวจข้อบกพร่องตัวเอง เลือกแก้ไขนิสัยเสียๆ ของตัวเอง และเลือกแก้ไขในส่ิงที่ผิด เลือกหาวิธีการที่เหมาะกับตัวเอง หาตัวเองให้เจอ แทนการเลือกโทษโชคชะตาฟ้าดิน พ่อแม่ คนรอบข้าง

เมื่อฉันจบการศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ พ่อแม่บอกว่าไม่มีเงินส่งฉันเรียนในชั้นมัธยมศึกษา ประกอบคนในหมู่บ้านของฉันก็ไม่มีใครเรียนต่อกัน ดังนั้น ฉันจึงต้องหยุดเรียนและออกมาช่วยพ่อแม่ทำไร่ทำนา แต่ด้วยความที่ฉันถูกเลี้ยงมาแบบทะนุถนอม ยายไม่เคยปล่อยให้ฉันทำงานบ้านเอง ฉันจึงโตมาแบบทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง ทำกับข้าวไม่เป็น ทำไร่ทำนาก็ไม่ไหว จนคนรอบข้าง มองฉันแล้วส่ายหน้า พร้อมกับพูดว่า ถ้าฉันไม่มีพ่อแม่ ยาย แล้ว ชีวิตฉันจะอยู่ได้อย่างไร ตอนนั้นฉันอายุสิบเอ็ดขวบ ฉันมีความคิดว่า ฉันไม่ชอบการทำไร่ทำนา เพราะมันเหนื่อย ฉันอยากเรียนหนังสือสูงๆ ทำงานดี ส่งเงินให้พ่อแม่ ฉันจึงขวนขวายที่จะเรียนการศึกษานอกโรงเรียน ฉันจึงขอพ่อไปเรียนการศึกษานอกโรงเรียน พ่อก็อนุญาต แต่แม่มีข้อแม้ว่า ฉันจะไม่ได้ซื้อเสื้อผ้าใหม่ประจำปี ไม่ได้สร้อยคอทองคำใส่ เหมือนกับเพื่อนๆ ในหมู่บ้าน ฉันก็ตกลง
ต่อมาฉันจึงได้ไปเรียนการศึกษานอกโรงเรียน ที่จังหวัดข้างเคียง อยู่ห่างจากหมู่บ้านของฉันประมาณ สามสิบกิโลเมตร ฉันต้องเดินจากหมู่บ้านประมาณสามกิโลเมตร เพื่อขึ้นรถเมล์ไปเรียนทุกวันอาทิตย์ ยาย เป็นห่วงฉันมาก จึงเดินตามมาส่งฉันทุกอาทิตย์ และรอฉันอยู่ที่ปากทางเข้าหมู่บ้านจนกระทั่งฉันกลับมาในตอนเย็น ภาพที่คนแถวนั้นเห็นจนชินตา คือ จะมียายหลานคู่หนึ่ง เดินขึ้นเขาลงเขา ทุกวันอาทิตย์ ตอนเช้า และตอนเย็น ฉันใช้เวลา สองปี จึงเรียนได้วุฒิเทียบเท่า ชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ สาม ขณะนั้น ฉันอายุ สิบห้าปีพอดี ฉันจึงขอพ่อแม่ เข้ากรุงเทพเพื่อหางานทำและหาที่เรียนต่อ พ่ออนุญาต และแม่มีข้อแม้ว่า ฉันต้องส่งเงินให้แม่ทุกเดือน เพราะถ้าฉันไปก็ไม่ใครช่วยพ่อแม่ทำไร่ทำนา หลังจากนั้น ฉันและเพื่อนในหมู่บ้านอีกหลายคนก็ไปหางานที่สำนักจัดหางานประจำอำเภอ ฉันและเพื่อนถูกส่งไปทำงานที่โรงงานปลาทูน่ากระป๋องในจังหวัดนครปฐม ฉันและเพื่อน ทำงานวันแรก ก็คลื่นไส้ เป็นลม เพราะเหม็นปลาทูน่า มีหลายคนที่ทำงานไม่ไหว และลาออกในวันรุ่งขึ้น ส่วนฉันคิดว่าฉันทนได้ เพราะเป้าหมายของฉันคือการได้เรียนต่อ ฉันคิดว่าที่นี่เหมาะกับฉันเพราะ ฉันทำงานเข้ากะกลางคืน ในเวลากลางวันฉันก็จะสามารถไปเรียนต่อได้ตามความฝัน และฉันเห็นพนักงานที่โรงงานนี้ ก็เรียนต่อที่ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนกันหลายคน ฉันประทับใจกับคำพูดของเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคล ที่บอกว่า “อย่าคิดว่างานที่ทำเป็นงานที่ต่ำต้อย งานทุกอย่างมีคุณค่าในตัวเอง” ซึ่งฉันก็เห็นด้วยและคิดว่าฉันได้เรียนรู้อะไรมากมายจากการทำงานนี้ เป็นต้นว่า การฝึกความอดทน ไม่ย่อท้อต่อการทำงานหนัก ซึ่งเป็นพื้นฐานทำให้จิตใจเข้มแข็ง สามารถฝันฝ่าอุปสรรคต่างๆไปได้ ฉัน ทำงานอยู่ได้หนึ่งเดือน ทางโรงงานประสบปัญหาขาดทุนและเลิกจ้างพนักงานใหม่ ฉันจึงต้องออกจากงาน และย้ายไปทำงานโรงงานทอผ้า อีกแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้เคียงกัน ทำงานอยู่ได้หกเดือน ฉันก็ยังมองไม่เห็นหนทางที่จะได้เรียนต่อ ฉันจึงตัดสินใจกลับไปตั้งหลักที่บ้าน อยู่บ้านได้สักพัก ฉันก็ชวนเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ไปหางานที่อำเภอ เราสัญญากันว่า จะไปหางานทำด้วยกันและหาที่เรียนด้วยกัน จากนั้น ฉันและเพื่อนถูกส่งไปทำงานที่โรงงานผลไม้กระป๋อง ทำงานได้สักระยะ เพื่อนของฉันบอกว่า เค้าทนลำบากไม่ไหวแล้ว อยากจะกลับบ้าน ตัวฉันยังไม่อยากกลับบ้าน แต่ไม่มีเพื่อนอยู่ด้วย ฉันก็กลัว จึงต้องตามเพื่อนกลับบ้าน พอกลับไปอยู่บ้านสักพัก ฉันก็หาเพื่อคนใหม่ เพื่อไปหางานทำด้วยกันอีกครั้ง ฉันและเพื่อนอีกสี่คน ไปหางานที่สำนักจัดหางานประจำอำเภอ และถูกส่งกลับไปทำงานที่โรงงานปลากระป๋องในจังหวัดนครปฐม ที่เดียวกับที่ฉันเคยไปครั้งแรก ขณะนั้นกิจการดีขึ้นแล้ว ฉันรู้สึกดีใจมากและคิดว่าคราวนี้คงได้เรียนต่อสมใจซะที หลังจากทำงานได้สักระยะ ฉันก็สมัครเรียนการศึกษานอกโรงเรียนใกล้ๆกับที่ทำงาน แต่แล้วฉันก็ประสบปัญหาเดิมๆ นั่นคือ เพื่อนที่มาจากหมู่บ้านเดียวกัน เค้าอยากจะกลับบ้านอีกแล้ว ฉันจึงตัดสินใจที่จะไม่ตามเพื่อนกลับบ้าน และนั่นเป็นครั้งแรกที่ฉันต้องอยู่ท่ามกลางคนแปลกหน้า โดยไม่มีคนจากหมู่บ้านเดียวกันอยู่ด้วย และแล้วฉันก็ผ่านมันไปได้ ด้วยความเหน็ดเหนื่อย ท้อแท้ สิ่งที่ฉันยังจำได้ติดใจ คือ มีอยู่วันหนึ่ง ฉันเดินเข้าไปขออนุญาตหัวหน้างาน ขอเลิกงาน ห้าโมง เย็นโดยไม่ทำโอทีต่อถึง สองทุ่ม เพราะวันรุ่งขึ้นฉันต้องไปสอบ คำตอบที่ฉันได้รับคือ หน้าตาบึ้งตึงของหัวหน้างานพร้อมกับคำพูดเสียงแข็งว่า ไม่ได้ งานก็คืองาน วันนั้นฉันจึงต้องทำงานถึงสองทุ่ม และไปสอบในตอนเช้า โดยมีเวลาอ่านหนังสือเพียงน้อยนิด แต่ในที่สุด ฉันก็ได้วุฒิ ม. ๖ มาครอบครอง ซึ่งในเวลานั้น ฉันไม่รู้ว่าจะเอาวุฒิ ม. ๖ ไปทำงานอะไร หรือเรียนอะไร มีแต่คนรอบข้างที่บอกฉันว่า ขนาดคนที่เรียนในระบบโรงเรียน ยังตกงาน ยังไม่สามารถเรียนให้จบมหาวิทยาลัยได้เลย แล้วเด็กบ้านนอก จบกศน อย่างฉัน จะไปทำอะไรได้ ตอนนั้น ฉันเหน็ดเหนื่อยทั้งกายและใจ จึงตัดสินใจกลับไปตั้งหลักที่บ้านอีกครั้ง
พอกลับไปบ้านสักพัก ความอยากเรียนต่อของฉันก็เร่งรัดให้ฉันเข้ามากรุงเทพอีกครั้งเพื่อหางานทำและหาที่เรียน คราวนี้ฉันมาทำงานก่อสร้าง พร้อมกับคนในหมู่บ้าน โดยมีแม่ตามมาทำงานด้วย ฉันทำงานก่อสร้างอยู่ได้เจ็ดวัน ก็เหน็ดเหนื่อยมากๆ จึงออกไปสมัครงานโรงงานอีกครั้ง และได้ทำงานโรงงานทำชิ้นส่วนอิเล็กทรอนนิกส์แห่งหนึ่ง ในจังหวัดสมุทรปราการ เมื่อได้งานแล้วฉันก็ส่งแม่กลับบ้านนอก ฉันชอบที่นี่มาก งานสบาย สวัสดิการดี กว่าโรงงานที่ฉันเคยทำเยอะ ฉัน ตั้งใจว่า จะสมัครเรียนรามคณะรัฐศาสตร์ เพราะมีคนบอกว่า จบ กศน. อย่างฉัน เรียนได้แค่รัฐศาสตร์รามเท่านั้น ฉันทำงานที่นี่ได้สี่เดือน และกำลังจะสมัครเรียนราม แต่อนิจจา โรงงานที่ฉันทำงานอยู่ มีนโยบายไม่รับพนักงานประจำ คือจะจ้างพนักงานแค่สี่เดือนแล้วเลิกจ้าง จากนั้นก็รับสมัครพนักงานใหม่ ฉันจึงถูกเลิกจ้างด้วยประการฉะนี้ เมื่อตกงาน ฉันจึงต้องพักเรื่องการมัครเรียนต่อไว้ก่อน ต่อมาฉันได้งานใหม่ ที่โรงงานทำเครื่องแฟกซ์ แถว อำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา ที่นี่ เงินเดือนไม่ได้เท่าที่เดิม แต่ก็วันหยุดเยอะดี ต่อมาฉันก็วางแผนจะสมัครเรียนรามอีกครั้ง ตอนนั้นฉันคิดว่า ฉันคงเรียนสาขารัฐศาสตร์ไม่ได้ เพราะ วิชาพื้นฐานเยอะมาก และฉันไม่ได้เรียนมัธยมในระบบโรงเรียน คงตามเพื่อนไม่ทัน ส่วนคณะนิติศาสตร์ วิชาพื้นฐานน้อยดี วิชาหลักก็ไม่มีสอนในชั้นมัธยม มาเริ่มต้นพร้อมกัน ฉันคงพอเรียนได้
เทอมแรก ฉันเลือกลงทะเบียนเรียนวิชาที่สอบเสาร์อาทิตย์ เพื่อจะได้ไม่ต้องลางาน ผลสอบในเทอมหนึ่งเป็นที่น่าพอใจ เทอมต่อมา วิชาที่เรียนเริ่มยากและเยอะขึ้น ฉันจึงมีความคิดว่าฉันควรย้ายไปทำงานโรงงานที่มี สามกะ จะได้ไม่ต้องลางาน ฉันจึงย้ายมาทำงานที่โรงงานประกอบชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ซึ่งอยู่ใกล้เคียงกัน นับเป็นโชคดีของฉัน ที่วันสอบของวิชาที่ฉันจะลงทะเบียนเรียนตรงกับช่วงที่ฉันเข้ากะดึกพอดี ฉันลงทะเบียนเรียนสองวิชาที่สอบวันเดียวกันเพื่อให้พอดีกับวันที่เข้ากะดึก ผลคือ ตอนเช้าสอบรามหนึ่ง ตอนบ่ายสอบรามสอง ตอนดึก ก็ไปทำงาน ขณะนั้นฉันมีแต่ความมุ่งมั่นที่จะอ่านหนังสือ สอบ และทำงานโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แต่พอสอบเสร็จ ฉันรู้สึกเหน็ดเหนื่อยเป็นอย่างมาก หมดแรง ใจสั่น กินข้าวไม่ได้ น้ำหนักลด ฉันได้เรียนรู้ว่านี่คือผลของการใช้งานร่างกายหนักเกินสมควร แม้ใจเราสู้ แต่ถ้าเกินกำลังร่างกายรับไม่ไหว หลังสอบเทอมเสร็จ ฉันเหน็ดเหนื่อย เมื่อยล้าจนต้องลาออกจากงานกลับไปพักผ่อนที่บ้านนอก ฉันกลับมากรุงเทพอีกครั้ง ช่วงเปิดเทอม และได้งานที่ร้านเซ่เว่น สาขาซอยมหาดไทย และหาเวลาไปเรียนในช่วงเข้ากะดึกและกะบ่าย เป็นครั้งแรกที่ฉันมีโอกาสได้ฟังคำบรรยายที่มีอาจารย์สอนแทนการอ่านหนังสือ ในขณะที่คนอื่นคิดว่าการนั่งเรียนเป็นเร่ืองน่าเบื่อ อ่านหนังสืออย่างเดียวดีกว่าเร็วดี แต่สำหรับฉันแล้วรู้สึกว่าเป็นเร่ืองโชคดีมากที่มีโอกาสได้รับทั้งความรู้และประสบการณ์โดยตรงจากผู้สอน บางครั้งอาจารย์ไม่ได้ถ่ายทอดเฉพาะความรู้เท่านั้น แต่ยังถ่ายทอดประสบการณ์ดีๆที่ท่านเคยประสบการณ์ มาให้เราด้วย ดังนั้น ฉันจึงตั้งใจเรียน เกี่ยวทั้งความรู้และประสบการณ์ที่มีคุณค่าของท่าอาจารย์ มาปรับใช้ในการเรียนและการดำเนินชีวิตประจำวัน ตั้งแต่เล็กจนโตใครๆก็บอกว่าฉันเงียบมาก มีแต่คนถามฉันว่าทำไมไม่พูดอะไรซะบ้าง เวลาไปไหนจะมีคนเป็นห่วงฉันมาก พวกเขากลัวฉันจะถูกหลอก พอมีคนบอกแบบนี้บ่อยๆฉันก็เริ่มไม่มั่นใจในตัวเอง อยากเป็นคนพูดเก่งกะเขาบ้าง และนี่คือสาเหตุหลักที่ทำให้ฉันไปสมัครอบรมการพูดที่ ศูนย์พัฒนาการพูดรามคำแหง ที่นี่ฉันมีเพื่อนมากมายและไม่อยากจะทำงานอีกต่อไป ประกอบกับช่วงนั้นมีโครงการกู้ยืมเงินเพื่อการศึกษา ฉันจึงตัดสินใจ ลาออกจากงานและกู้เงินเรียน หลังจบการอบรม ฉันยังเป็นสมาชิกของศูนย์แห่งนี้ และได้มีโอกาสจัดเตรียมการอบรมการพูดในรุ่นต่อๆมา ฉันมีโอกาสได้ทำหน้าที่ต่างๆในการจัดเตรียมงานอบรมในหลายครั้ง เช่น เป็นพิธีกรดำเนินรายการ เป็นฝ่ายจัดหางบประมาณ
สิ่งหนึ่งที่ฉันได้เรียนรู้จากที่นี่คือ “พูดดี” กับ “พูดมาก” เป็นคนละเรื่องกัน คนที่พูดจาคมคาย ฉลาดเฉียบแหลมไม่จำเป็นต้องพูดมากเสมอไป และนั่นทำให้ฉันมั่นใจกับการเป็นคนพูดน้อยของตัวเองมากขึ้น ฉันได้รับความรู้ ประสบการณ์และเพื่อน จากที่นี่มากมาย ทำให้ฉันเป็นคนกล้าแสดงออกมากขึ้นรู้จักการทำงานร่วมกับคนอื่น ซึ่งฉันสามารถนำไปปรับใช้กับชีวิตประจำวันได้จนถึงทุกวันนี้ ฉันใช้เวลาสามปีก็จบการศึกษาในระดับปริญญาตรี ในรุ่น ๒๕ ฉันเคว้งคว้างอยู่สักพัก หางานทำไม่ได้ ฉันไม่ค่อยชินกับการเรียนอย่างเดียวโดยไม่ได้ทำงาน ฉันสัญญากับตัวเองว่าถ้าหางานทำได้แล้วฉันจะตั้งใจทำงานอย่างดีที่สุด นับว่าเป็นโชคดีของฉันที่ยังกู้เงินจากกองทุนกู้ยืมฯได้เพราะเป็นช่วงเวลาที่คาบเกี่ยวกัน นั่นทำให้ฉันไม่ต้องขวนขวายหางานมากนัก การเรียนที่เนติฯ ฉันเข้าฟังคำบรรยาย ทั้ง ภาคปกติ ภาคค่ำ ภาคทบทวน ก่อนเข้าเรียนฉันจะไปนั่งอ่านคำบรรยายของปีก่อนๆ และหนังสือที่ห้องสมุด สำหรับฉันแล้วหนังสือที่ห้องสมุดเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามาก เพราะหนังสือหลายเล่มเขียนโดยอาจารย์ผู้ทรงความรู้และไม่มีขายในท้องตลาดแล้ว นับว่าเป็นโชคดีของฉันที่ไม่มีเงินซื้อหนังสือข้างนอกมาอ่าน จนต้องใช้วิธียืมหนังสือจากห้องสมุดมาอ่าน เมื่อยืมมาแล้วก็ต้องอ่านให้จบ ทำโน๊ตย่อไว้เพื่อทบทวนเพราะไม่ใช่หนังสือของเรา ตลอดเวลาสามปีที่รามและหนึ่งปีที่เนติ ฉันอ่านหนังสือในห้องสมุดแทบทุกเล่ม ตอนนั้นฉันสงสารตัวเองมากที่ไม่มีเงินซื้อหนังสือมาอ่าน แต่พอมองย้อนกลับไป พบว่า นั่นคือโชคดีมหาศาล ที่ทำให้ฉันมีความตั้งใจ อ่านหนังสือให้ได้เยอะ ๆเร็วๆ ฉับพบว่า หลังจากที่ฉันมีเงินซื้อหนังสือแล้ว ความขยันอ่านหนังสือหายไปเพราะคิดว่า หนังสือเป็นของเรา จะอ่านเมื่อไหร่ก็ได้ สุดท้าย ฉันมีหนังสือเต็มห้องแต่ยังอ่านไม่ครบทุกเล่ม
ในการฟังคำบรรยาย หรืออ่านหนังสือแต่ละครั้งฉันจะทำโน๊ตย่อ ไปด้วย (ฉันไม่เคยกลับไปอ่านโน๊ตย่อของตัวเองหรอกแต่คิดว่านี่คือวิธีการหนึ่งที่ทำให้ฉันมีสมาธิจดจ่ออยู่กับการฟังหรือการอ่านได้) และจดเลขฏีกาที่น่าสนใจไว้ และไปค้นฎีกาย่อยาวที่ที่ห้องสมุดแล้วนำมาถ่ายเอกสารเก็บไว้เป็นหมวดหมู่ หลายครั้งที่ฉันอ่านฎีกาย่อ หรือฟังอาจารย์พูดแล้วไม่เข้าใจ ฉันก็จะไปหาฎีกาย่อยาวมาอ่าน ฉันชอบอ่านฏีกาที่มีหมายเหตุท้ายฎีกาที่อธิบายหลักกฎหมายนอกเหนือไปจากประเด็นที่ฎีกานั้นตัดสิน ทำให้ฉันมองเห็นภาพกว้างของหลักกฎหมายเหล่านั้น นอกจากนี้ฉันยังชอบเดินไปที่ร้านถ่ายเอกสารที่หน้าห้องบรรยายชั้นสี่ ที่นี่จะมีชีทมากมายทั้งของอาจารย์และเพื่อนนักศึกษาผู้มากด้วยน้ำใจ บางครั้งการอ่านในหนังสือให้ความรู้สึกหนักๆ พอมาอ่านข้อมูลในชีทรู้สึกว่าเข้าใจง่ายกว่า (คิดไปเองหรือเปล่าไม่รู้นะ) อ่านไปก็รู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจของผู้จัดทำเป็นอย่างมาก ฉันใช้เวลาเรียนหนึ่งปีก็จบเนติฯในสมัยที่ ๕๒
ต่อมา ฉัน สอบเข้าบรรจุเป็นข้าราชการที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ปีแรกที่ทำงานที่นี่ฉันมีความสุขมากๆ ฉันประทับใจกับการอบรมพนักงานใหม่ซึ่งให้ข้อคิดกับฉันว่า อะไรก็ตามถ้าเราทำถูกวิธีมันจะไม่เหนื่อย และประสบความสำเร็จได้ง่าย ถ้าเราทำอะไรแล้วเหนื่อยและไม่ได้ผล แสดงว่าเราทำผิดวิธีเราต้องหาวิธีการใหม่ ฉันก็ได้ใช้หลักการข้อนี้ มาปรับใช้กับการเตรียมตัวสอบผู้พิพากษา เพื่อนๆที่บรรจุพร้อมกันบอกว่างานที่นี่เหนื่อย หนัก เครียด แต่ในความรู้สึกของฉันคือ สบายกว่างานโรงงานที่ฉันทำตั้งเยอะ
นอกจากนี้ฉันยังประทับใจกับการได้ไปปฏิบัติธรรมเป็นเวลา ๗ วัน การอบรมครั้งนั้นทำให้มุมมองเกี่ยวกับการศาสนาของฉันแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าศาสนาพุทธ จะสอนมีเหตุมีผลขนาดนี้ ตอนนั้นฉันไม่ค่อยเข้าใจธรรมะมากมายหรอก รู้แค่ว่า ถ้าฉันได้ปฏิบัติธรรมบ่อยๆจะทำให้จิตใส สงบ ผ่องใส เยือกเย็น มีความจำดี ช่วยให้การศึกษาเล่าเรียนดี มีสติปัญญาเฉียบแหลม เป็นเรื่องจริงนะที่เค้าบอกว่า ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน เมื่อ ใจมันอยากไป แม้จะภาระมากมายแค่ไหน ในที่สุดฉันก็หาเวลาและสถานที่ไปปฏิบัติธรรมแทบทุกเดือนจนได้ สามวันบ้าง ห้าวันบ้าง แล้วแต่โอกาสจะอำนวย จะว่าไปแล้วฉันเตรียมตัวสอบผู้ช่วยผู้พิพากษามาตั้งแต่สมัยเรียนปริญญาตรี การลงทะเบียนเรียนแต่ละวิชาถ้าเลือกได้ฉันจะเลือกวิชาที่มีในการสอบผู้พิพากษา ตอนเรียนเนติฯ ฉันเข้าเรียนทั้งภาคปกติ ภาคค่ำ ภาคทบทวน เพื่อจะเก็บเกี่ยวความรู้ให้ได้มากที่สุด หลังจบเนติฯแล้ว เมื่อมีเวลาว่างฉันจะไปฟังคำบรรยายภาคทบทวน วันอาทิตย์ที่เนติฯ ฝากเพื่อนอัดเทปคำบรรยายภาคปกติให้ (สมัยก่อนไม่มีคำบรรยายให้ดาวน์โหลดทางเน็ต หนังสือรวมคำบรรยายเนติ สมัยที่เรียนจบนั้น ฉันได้นำมาแยกรายวิชา และรวมเล่มเพื่อความสะดวกในการอ่าน และสั่งจองคำบรรยายของปีต่อๆมาทุกปี จนกระทั่งสอบได้ สั่งจองคำพิพากษาฎีกาของส่งเสริมฯ (สำนักงานศาลยุติธรรม) ทุกปี จนกระทั่งสอบได้ ไปเนติฯเป็นประจำเท่าที่โอกาสอำนวย เพื่อไปดูหนังสือใหม่ๆที่ร้านหนังสือ และชีทใหม่ๆที่ร้านถ่ายเอกสารชั้นสี่ ตอนที่ยังอายุไม่ครบที่จะสอบ ฉันมัวแต่สนุกกับงาน สนุกเพื่อนใหม่ สถานที่แปลกใหม่ และคิดว่าอายุไม่ครบก็ยังไม่ต้องเตรียมตัวอะไรมากมาย ดังนั้นแต่ละอาทิตย์ ฉันจึงเพียงแต่อ่านคำบรรยายเนติฯ และฎีกา ที่ส่งมาให้อาทิตย์ละเล่มเท่านั้น นอกนั้น จะชอบอ่านนิยายและหนังสือธรรมะมากกว่า นับว่าเป็นข้อผิดพลาดและเป็นความประมาทของฉัน พอฉันมีคุณสมบัติครบที่จะสอบผู้พิพากษาได้ และเริ่มเตรียมตัวอย่างจริงจังก็รู้สึกเสียดายเวลาที่ผ่านมา คิดว่าเราน่าจะเตรียมตัวให้มากๆ ก่อนหน้านี้ตั้งนานแล้ว
พอมีการประกาศรับสมัครสอบผู้ช่วย ฉันเริ่มจัดตารางเวลาใหม่ เริ่มจาก ตื่นตีสี่ มานั่งสมาธิ สวดมนต์ ออกกำลังกายโดยการเล่นโยคะ ไปทำงานตอนหกโมงเช้า ถึงที่ทำงานเจ็ดโมง เข้าห้องสมุด ถึงแปดโมงครึ่ง ก็กลับเข้าห้องทำงาน และเลิกงานสี่โมงหก ตอนเย็นเริ่มอ่านหนังสือประมาณหกโมงเย็นถึงสี่ทุ่ม (ช่วงนั้นไม่เปิดทีวี และโชคดีที่ตอนนั้นไม่มีเฟสบุค) ก่อนหน้านี้ก็นอนดึกกว่านี้นะแต่ช่วงอ่านหนังสือ สี่ทุ่มก็ง่วงละ ไม่รู้ทำไม เสาร์อาทิตย์ก็ไม่ค่อยได้อ่านหนังสือนะ ธุระเยอะแยะมากมายไปหมด แต่ก็พยายามไปเรียนทบทวน วันอาทิตย์ที่เนติฯ อัดเทปมาฟังระหว่างซักผ้า กินข้าว หรือช่วงที่อ่านหนังสือแล้วง่วงก็เปลี่ยนมาฟังคำบรรยายแทน เวลาอ่านหนังสือฉันต้องทำโน๊ตย่อไปด้วย เพื่อดึงสมาธิให้มาจดจ่ออยู่กับหนังสือ หรือบางทีก็อ่านออกเสียง อัดเทปไว้(ไม่ได้เอากลับมาเปิดฟังหรอกแค่ทำแก้ง่วงนะ) ช่วงไหนขี้เกียจเขียนก็อ่านอย่างเดียว สลับกับเอาข้อสอบเก่ามาทำ ถ้าให้ฉันนั่งอ่านหนังสือเล่มเดียวเป็นเวลาหลายชั่วโมง ทำไม่ได้จริง ๆ ขนาดกินกาแฟ ผ่านไปห้านาทีก็ง่วงแล้ว สิ่งที่อยากจะบอกก็คือ การเรียนรู้ไม่มีรูปแบบหรอก จะทำวิธีไหนก็ได้ขอให้เขียนตอบข้อสอบให้ได้คะแนนดีละกัน ลองสังเกตตัวเองว่าเรามีความสุขกับการทำอะไร สิ่งนั้นคือสิ่งที่เราชอบเราจะทำได้ดี
ฉันเป็นคนโชคดีอยู่อย่างคือจะอ่านหนังสือได้เร็วและสายตาปกติ คงเป็นผลจากการรักการอ่านมาตั้งแต่เด็กจึงทำให้เข้าใจสิ่งที่อ่านได้ง่ายๆ หรืออาจเป็นไปได้ว่าสิ่งที่อ่านนั้น ฉันเคยเรียนมาแล้วและทบทวนอยู่เรื่อยๆ แม้จะไม่ค่อยจริงจัง แต่ก็เป็นสิ่งที่เคยผ่านตามาบ้างแล้วจึงทำให้การอ่านหนังสือเป็นไปโดยไม่ลำบากมากนัก ดังนั้น แม้จะใช้เวลาในการอ่านไม่มาก ก็ได้ความรู้เยอะพอสมควร แต่ก็ยังไม่พอที่จะสอบผ่านในครั้งแรก สมัยเรียนเนติ เคยเอาหนังสือมากองรวมกัน อ่านและโยนไว้อีกกองหนึ่ง พอสอบผู้ช่วยหยิบเล่มไหนก็โยนไม่ได้ เพราะยังไม่เข้าใจเลย คงเป็นเพราะเนื้อหาที่นำมาออกข้อสอบผู้ช่วยมีเยอะมาก และข้อสอบก็ยากพอสมควร อีกทั้งมีแรงกดดันจากคนรอบข้างที่คาดหวังว่าฉันจะสอบได้อย่างแน่นอน ด้วยความตื่นเต้น ความรู้ไม่แน่น ฉันจึงสอบตกในครั้งแรกด้วยประการฉะนี้
ฉันรู้อยู่แล้วตั้งแต่วันที่ออกจากห้องสอบว่าจะสอบไม่ผ่าน ช่วงสอบเสร็จใหม่ๆฉันอ่านหนังสือกฎหมายไม่ได้เลย เห็นประเด็นที่เคยออกข้อสอบแล้วปวดใจ ไปเปิดหนังสือ เห็นเราเคยทำเครื่องหมายไว้ ขีดเส้นใต้ไว้ เขียนไว้ว่าน่าออกข้อสอบ แต่ทำไมตอนอยู่ในห้องสอบนึกไม่ออกเลย เลยเปลี่ยนมาอ่านหนังสือธรรมะแทน มีเวลาว่างก็ไปปฏิบัติธรรม แต่ตอนนั้นก็ยังหวังปาฎิหารย์อยู่ลึกๆ เมื่อประกาศผลสอบก็รู้ว่าปาฏิหารย์ไม่มีจริง แม้จะทำใจไว้แล้วก็อดเสียใจไม่ได้ ใครๆปลอบยังไงก็ไม่หาย จนมีเพื่อนคนหนึ่งพูดว่า “ สอบตกซะบ้างก็ดี จะได้รู้ความรู้สึกของคนสอบไม่ผ่านบ้างว่าเป็นไง” คำพูดนั้น ทำให้ฉันได้สติ ระลึกขึ้นมาได้ว่าที่ผ่านมายังไม่เคยสอบตกเลย เวลาเห็นคนอื่นสอบตกเราไม่เห็นรู้สึกอะไรเลย พอเจอกับตัวเอง มันเจ็บลึกจริงๆ นะ มาคิดอีกที สอบตกก็ดีนะ เราจะได้เข้าใจความรู้สึกของคนอื่นบ้าง นับว่าเป็นความโชคดีของฉันที่มีการเปิดสอบสนามใหญ่ติดกัน ทำให้ฉันไม่มีเวลาเสียใจนานนัก เมื่อประกาศสอบอีกครั้ง ทำให้กำลังใจของฉันกลับมาด้วยหวังว่าจะมีโอกาสอีกครั้ง ฉันเริ่มต้นสำรวจข้อบกพร่องที่พบในการสอบคราวก่อน เป็นต้นว่า ก่อนเข้าห้องสอบฉันเจอเพื่อนและคุยกับเพื่อน ทำให้จิตฟุ้งซ่าน ไม่เป็นสมาธิ ฉันตั้งใจว่า สอบคราวนี้ จะไม่ไปยืนรอหน้าห้องสอบ ก่อนเข้าสอบจะไม่คุยกับใคร สอบคราวก่อน ฉันมัวแต่สืบว่ามีคนเก็งข้อสอบอะไรกันบ้าง และท่องฎีกาเก็งไป พออยู่ในห้องสอบเมื่อเจอข้อสอบ ฉันก็บอกตัวเองว่านี่แหละฎีกาเก็ง ซึ่งความจริงแล้ว เป็นคนละเรื่องเลย แต่เป็นเพราะใจเราไม่ว่าง มีสิ่งต่างๆอยู่ในหัว จึงทำให้มองไม่เห็นความจริงตรงตามความเป็นจริง ฉันตั้งใจว่าคราวนี้ จะไม่เก็งฎีกาอะไรทั้งสิ้น จะอ่านหนังสือ มีสติอยู่กับปัจจุบัน ทำความเข้าใจไปเรื่อยๆ ได้แค่ไหนแค่นั้น สอบคราวก่อนฉันเขียนไม่ทัน ฉันก็จะฝึกเขียนให้มากๆ ฉันทำคะแนน แพ่งอาญาได้น้อย ก็เน้นอ่านแพ่งอาญาให้มากขึ้น บางครั้งเมื่อฉันเห็นคนที่อ่านหนังสือสอบอย่างเดียวฉันก็นึกอิจฉาอยากเป็นแบบนั้นบ้างแต่ทำไม่ได้เพราะมีภาระครอบครัวมากมาย มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ฉันลาพักผ่อนและไปนั่งอ่านหนังสือสามวันเต็ม ทั้งวันโดยไม่พัก ฉันอ่านจูริส จบไปสองสามเล่ม และฉันรู้สึกว่าความรู้เต็มหัวจนหนักอึ้งดพราะสมองซึมซับไม่ทัน ฉันเห็นหนังสือแล้วรู้สึกเวียนหัว อ่านหนังสือไม่ได้ไปอีกสองอาทิตย์ เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ฉันเรียนรู้ว่า การศึกษาหาความรู้ ไม่ใช่การนำข้อมูลจำนวนมหาศาลมายัดใส่สมองภายในครั้งเดียว ยิ่งมากเท่าไหร่ยิ่งดี แต่เป็นการค่อยซึมซับความรู้ทีละน้อยและฝึกฝนจนเชี่ยวชาญ จุดสำคัญอยู่ที่ความต่อเนื่อง ถ้าเราอ่านหนังสือแค่วันละสองชั่วโมงแต่สามารถจดจำและนำไปปรับใช้ได้ มันจะเป็นความเข้าใจที่นานเท่าไหร่ก็จะไม่ลืม ถ้าเราทำได้ต่อเน่ืองทุกวัน ความรู้ที่มีจะค่อยๆเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ โดยที่เราไม่ต้องเหนี่อยฟรี นับแต่นั้นฉันจึงคิด เป็นความโชคดีของฉันที่ได้ ทำงานและเรียนด้วยมาโดยตลอด มันทำให้ฉันมีทั้งความรู้และประสบการณ์ที่นำมาใช้ด้วยกันได้อย่างลงตัว ในการสอบครั้งที่สองฉันมีสติมากกว่าการสอบครั้งแรก แก้ไขข้อบกพร่องได้บางส่วน ทำข้อสอบได้ครบทุกข้อ หลังสอบเสร็จ รู้สึกว่าทำได้มากกว่าครั้งแรกแต่ก็ไม่อยากคาดหวังอะไร มากมาย เมื่อประกาศผลสอบแนสอบผ่านด้วยคะแนนที่เฉียดฉิว
นับจากวันที่ฉันสอบผ่านได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยผู้พิพากษา จนถึงวันนี้ เป็นเวลาแปดปีเศษ หลายครั้งที่มองย้อนกลับไปแล้วรู้สึกว่า แทบไม่น่าเชื่อว่าเด็กบนดอยคนหนึ่งจะมายืนจุดนี้ได้ สิ่งหนึ่งที่ทำให้ฉันมีวันนี้ได้ คือความรักแบบไม่มีเงื่อนไขของคนในครอบครัวไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ ยาย น้องสาว แม้พวกเค้าจะไม่เข้าใจว่าฉันจะเรียนไปทำไมเยอะแยะมากมาย รู้แต่ว่าฉันอยากเรียนก็สนับสนุนทุกทางเท่าที่จะทำได้ ในขณะที่คนในหมู่บ้านมีแนวคิดว่าการเรียนหนังสือไม่มีประโยชน์เสียเวลาทำมาหากินและมีตัวอย่างของคนในหมู่บ้านที่ไปเรียนจบมาแล้วก็แต่งงานเลี้ยงลูกโดยไม่ได้ประกอบอาชีพตามที่เรียนมาเลย ดังนั้น พวกเค้าจึงไม่คิดที่จะส่งลูกหลานเรียนต่อ ส่วนพ่อของฉันอยากให้ฉันเรียนอยู่แล้วแต่ไม่มีเงินส่งเรียน เมื่อฉันขอไปเรียน กศน. พ่อก็อนุญาต ส่วนแม่และยายแม้จะไม่เห็นด้วยแต่ก็ไม่เคยห้าม มีแต่ช่วยสนับสนุนทุกทาง ยายมารับส่งทุกครั้งที่ไปเรียน ตอนที่ฉันเข้ามาทำงานกรุงเทพ แม่และยายก็ยอมแม้ว่าจะคิดถึงและเป็นห่วงฉันมากแค่ไหน คนข้างบ้านบอกว่าแม่ฉันจิตใจเข้มแข็งมากๆ ที่ยอมให้ลูก อายุไม่ถึงยี่สิบปีมาอยู่กรุงเทพเพียงลำพัง ฉันคิดว่าที่แม่ยอมเพราะแม่เชื่อว่าฉันดูแลตัวเองได้ดี และฉันสัญญากับตัวเองว่าจะไม่ทำให้ครอบครัวผิดหวัง ส่วนน้องสาวคนเดียวของฉัน ฉันรักเค้ามาก และเค้าก็รักฉันมากเช่นเดียวกัน ในขณะทำงานฉันส่งเงินกลับบ้านเพื่อให้น้องสาวได้เรียนต่อ ซึ่งเค้าก็ไม่เคยทำให้ฉันผิดหวัง เค้าเรียนดี ตั้งใจเรียน มาโดยตลอด โดยที่ฉันไม่ต้องแนะนำสั่งสอน น้องเดินมาในทางเดียวกันกับที่ฉันเดิน ฉันดีใจที่สามารถเป็นแบบอย่างที่ดีให้น้องได้ บางทีฉันก็รู้สึกว่าน้องสาวของฉันอาจจะรู้สึกกดดัน ที่ใครก็ชื่นชมฉันและคาดหวังว่าน้องจะทำได้เหมือนฉัน ฉันอยากจะบอกน้องสาวว่าถึงแม้วันนี้น้องจะทำไม่ได้เท่าพี่ เพราะมีเหตุปัจจัยที่ต่างกัน ฉัน ก็รักและภูมิใจในตัวเค้ามากและดีใจที่ได้เกิดมาเป็นพี่น้องกัน อะไรที่พี่จะช่วยให้น้องประสบความสำเร็จได้พี่ก็พร้อมจะทำ อย่างเช่น การเปิดเพจธรรมมะกับกฎหมาย เพื่อแนะนำการเรียนกฎหมาย พี่เขียนเพจนี้ขึ้นมาก็เพราะคิดว่าเพจนี้จะเป็นประโยชน์กับน้องของพี่และคนอื่นๆ
........เมื่อก่อนฉันเคยคิดว่าฉันมาจากครอบครัวที่ยากจน แต่วันนี้ฉันรู้แล้วว่าครอบครัวของฉันเป็นครอบครัวที่อบอุ่น สมบูรณ์ที่สุด ตั้งแต่เล็กจนโตฉันไม่เคยเห็นพ่อแม่ทะเลาะกันเลย เงินทุกบาทที่หามาได้ พ่อจะให้แม่เก็บทั้งหมด หากพ่อเอาเงินไปใช้ พ่อจะกลับมาบอกแม่ว่าใช้อะไรไปบ้าง ที่เหลือจะคืนแม่ทั้งหมด พ่อไม่เคยซื้อเสื้อผ้าใส่เอง แม่ซื้อเสื้อผ้าแบบไหนให้ก็ใส่แบบนั้นโดยไม่พูดอะไรสักคำ พ่อแม่ทำงานหนักเพื่อมาเลี้ยงดูครอบครัว ยายเลี้ยงดูฉันอย่างดี ตอนเด็กฉันไม่เคยถูกตีเพราะมียายคอยปกป้องอยู่เสมอ ญาติพี่น้องทุกคนรักกันและคอยช่วยเหลือกันอยู่เสมอ สิ่งเหล่านี้ทำให้ฉันเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังและความรักในหัวใจ ที่พร้อมจะเดินตามความฝันของตัวเอง และแบ่งปันความรักให้แก่คนรอบข้าง ทำให้ฉันเรียนรู้ว่าสิ่งที่ดีที่สุดที่เราจะให้แก่คนที่เรารักได้คือ การให้เค้าได้เป็นตัวเอง ได้ทำในส่ิงที่รักและอยากมีความสุขที่จะทำ และนี่คือสิ่งที่ฉันได้จากครอบครัวของฉัน
...........สิ่งสำคัญอีกอย่างที่ทำให้ฉันเดินมาถึงตรงนี้ได้ นั้น คือ ฉันมีเป้าหมายชัดเจน และหาวิธีการเดินไปสู่จุดหมายนั้น ฉันไม่เคยยอมแพ้ ทุกครั้งที่ทุกอย่างไม่เป็นไปดังหวัง ฉันก็จะบอกกับตัวเองว่า มันต้องมีวิธีการอื่นที่ให้เราเดินไปสู่ความสำเร็จได้ ทุกเรื่องราวในชีวิตที่ผ่านมาไม่ว่าดีหรือร้ายก็สามารถเป็นครูสอนเราได้ สิ่งที่ดีเราก็ดูไว้เป็นตัวอย่างที่ควรทำตาม สิ่งที่ไม่ดีเราก็ดูไว้เป็นตัวอย่างที่ไม่ควรทำตาม คนเราเกิดมาเพื่อเรียนรู้และเติบโตขึ้น คนเราไม่รู้หรอกว่า ทำกรรมอะไรไว้จึงได้ตัวตนแบบที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ แต่ถึงวันนี้ วันที่เรายังมีลมหายใจอยู่กับปัจจุบันขณะ เราสามารถเลือกได้ว่าจะเดินไปตามเส้นทางที่กรรมเก่าขีดเส้นไว้ หรือเลือกที่จะสำรวจข้อบกพร่องตัวเอง เลือกแก้ไขนิสัยเสียๆ ของตัวเอง และเลือกแก้ไขในส่ิงที่ผิด เลือกหาวิธีการที่เหมาะกับตัวเอง หาตัวเองให้เจอ แทนการเลือกโทษโชคชะตาฟ้าดิน พ่อแม่ คนรอบข้าง

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น